ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะนัดแรกในรายการอินเตอร์เนชันแนล แชมเปียนส์ คัพ ด้วยการแซงเอาชนะแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยสกอร์ 2-1

รายชื่อนักเตะ

11 ตัวจริง: คาริอุส, ไคลน์, โกเมซ, ฟาน ไดจ์ค, โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่, มิลเนอร์, ไวจ์นัลดุม, โจนส์, ลัลลานา และสเตอร์ริดจ์   

สำรอง: เคลเลเฮอร์, มาเน่, ซาลาห์, กรูยิช, คลาวาน, โมเรโน่, โซลันกี, ฟิลลิปส์, โอโจ้, วู้ดเบิร์น, กามาโช่, ชิริเบย่า และกราบารา   

Team News อัพเดตก่อนเกม: ไวจ์นัลดุมจะลงเล่นเกมแรกของปรีซีซั่น  ส่วนซาลาห์ และมาเน่ และกรูยิช มีชื่อบนม้านั่งสำรองในเกมอินเตอร์เนชันแนล แชมเปียนส์ คัพ กับแมนฯ ซิตี้ ขณะที่เกอิต้า จะพลาดการลงสนามในเกมวันนี้

จังหวะสำคัญในเกม

  • นาที 57 ซาเน่ยิงให้แมนฯ ซิตี้ นำ 1-0
  • นาที 63 ซาลาห์โหม่งตีเสมอ 1-1
  • นาที 90+4 มาเน่ยิงจุดโทษให้ลิเวอร์พูลแซง 2-1

เกมในครึ่งแรก

ลิเวอร์พูลอำลาชาร์ล็อตต์ และเดินทางมายังนิว เจอร์ซีย์ เพื่อลงเล่นเกมที่ 2 ของรายการอินเตอร์เนชันแนล แชมเปียนส์ คัพ กับแมนฯ ซิตี้

ในนาที 12 แมนน ซิตี้ ได้โอกาสแรกในเกม โดยเอ็มเมซ่าที่ได้โอกาสยิงในกรอบ ก่อนที่คาริอุสจะพุ่งปัด นักเตะแมนฯ ซิตี้ เข้ามาซ้ำแต่บอลไม่ตรงกรอบ

ลิเวอร์พูลได้โอกาสบ้างในนาที 18 โดยโจนส์ปั่งโค้ง แต่บอลตรงตัวบราโว่  

ลิเวอร์พูลถูกบุกหนักในนาที 29 ทำให้โรเบิร์ตสันต้องสกัดบอลออกหลัง แมนฯ ซิตี้ ได้เตะมุม ก่อนที่คาริอุสจะชกบอลออกมา และถูกยิงสวนกลับ แต่ยังรับไว้ได้ จากนั้นในนาที 30 ฟาน ไดจ์ค ได้ใบเหลืองจากการเข้าสกัดมาห์เรซ ซิตี้ได้ฟรีคิกแต่ยิงไม่ตรงกรอบ

แต่ลิเวอร์พูลมีลุ้นในนาที 32 หลังลัลลานาสอดเข้ามายิง แต่บอลเฉี่ยวเสาออกไปนิดเดียว และในนาที 33 โจนส์ได้ซัดด้วยซ้าย แต่ยังตรงตัวบราโว่

สเตอร์ริดจ์ถูกเกี่ยวล้มในนาที 35 ทีมได้ฟรีคิก มิลเนอร์โยนเข้ามา แต่โกเมซได้โหม่งไม่ถนัด

ลิเวอร์พูลเสียฟรีคิกในนาที 38 มาห์เรซรับหน้าที่ปั่นโค้งข้าไปแต่เข้ามือคาริอุส

ไคลน์ได้โอกาสวางบอลยาวในนาที 42 ก่อนที่โจนส์จะโฉบเข้ามาโหม่ง แต่บอลไม่เข้ากรอบ และในนาที 43 โจนส์ได้เลี้ยงบอลเข้าไปในกรอบ ก่อนที่จะเบียดปะทะกับฮัมฟรีย์ และล้มลง กรรมการไม่ว่าอะไร และนั่นเป็นจังหวะลุ้นจังหวะสุดท้ายของเกมครึ่งแรก

เกมในครึ่งหลัง

ในครึ่งหลัง เคลเลเฮอร์, คลาวาน, วู้ดเบิร์น, มาเน่, โซลันกี ลงมาแทนคาริอุส, โกเมซ, ลัลลานา, สเตอร์ริดจ์, ไวจ์นัลดุม

เคลเลเฮอร์ ที่ลงมาแทนคาริอุสในครึ่งหลัง โอกาสโชว์เซฟในนาที 52 เมื่อซาเน่เข้าชาร์จจ่อๆ แต่ยังใช้ขาเซฟไว้ได้ จากนั้นลิเวอร์พูลได้โต้กลับ มานุถึงบอลก่อนแต่ถูกเสียบสกัด ลิเวอร์พูลได้ฟรีคิกในนาที 55 ฟาน ไดจ์ค ได้ยิงแต่บอลแฉลบกำแพง ลิเวอร์พูลได้เตะมุม โซลักีได้บอลที่ตกมาหน้าประตู แต่กรรมการเป่าให้เป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน

แต่เป็นเป็นแมนฯ ซิตี้ ที่ทำประตูนำไปก่อนในนาที 57 โดยซาเน่ได้บอลวิ่งแซงฟาน ไดจ์ค ก่อนยิงสวนเคลเลเฮอร์เข้าไปให้ทีมนำ 1-0

จากนั้นในช่วงนาที 62 คล็อปป์ส่ง ซาลาห์, โมเรโน่, ฟิลลิปส์, กรูยิช, กามาโช่, ชิริเบย่า ลงมาแทน ไคลน์, โจนส์, ฟาน ไดจ์ค, มิลเนอร์, ฟาบินโญ่, โรเบิร์ตสัน

เพียง 52 วินาทีที่ซาลาห์ลงมาสนาม กลายเป็นซูเปอร์ซับในเกมเมื่อเป็นผู้โหม่งตีเสมอ หลังกามาโช่เป็นผู้โยนบอลโค้งเข้ามาให้ที่หน้าประตู

หลังจากตีเสมอได้ ซาลาห์ได้โอกาสอีกครั้งในนาที 67 เมื่อซาลาห์ได้โอกาสโหม่งหลังมาเหยอดมาให้ แต่ฮัมฟรีย์สกัดออกไป และจากนั้นในนาที 68 ซาลาห์ได้บอลเปิดจากกามาโช่ที่เยี่ยมทั้งน้ำหนักและทิศทาง ก่อนจะยิงไปชนคาน!

ลิเวอร์พูลได้ฟรีคิกในนาที 80 หลังถูกฮัมฟรีย์สกัดนอกกรอบ ซาลาห์รับหน้าที่ยิง แต่บอลไม่เข้ากรอบ

โอกาสทองท้ายเกมมาจากการประสานงานระหว่างมาเน่ และซาลาห์ โดยซาลาห์ส่งให้มาเน่ แต่มาเน่ก้าวเข้ามาไม่ถึง จึงไม่มีโอกาสยิงอย่างถนัดนัก และในนาที 86 มาเน่ได้บอลทะลุช่องจากโซลันกีหน้าประตู แต่ฮาร์ทเข้ามาบีบเร็ว จนมาเน่ไม่ได้โอกาสยิง

ฮัมฟรีย์ของซิตี้ยังคงเป็นขวากหนามของลิเวอร์พูลในการทำประตู เมื่อเขาสไลด์ลูกเปิดของโมเรโน่ออกไปก่อนที่ซาลาห์จะเข้าถึง ในนาที 90

กรรมการทดเวลาบาดเจ็บครึ่งหลัง 3 นาที

ลิเวอร์พูลมาได้จุดโทษ ในนาที 90+2 หลังโซลันกีถูกชนจากด้านหลัง มาเน่รับหน้าที่ยิง ให้ลิเวอร์พูลแซงกลับมาชนะ 2-1