โรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ ลงมาเป็นซูเปอร์ซับ เมื่อทำประตูชัยให้ลิเวอร์พูลเอาชนะปารีส แซงต์-แชร์กแมง ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บเกมแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม นัดแรกที่แอนฟิลด์ ไปด้วยสกอร์ 3-2

รายชื่อนักเตะ

11 ตัวจริง: อลิสสัน, อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาน ไดจ์ค, โกเมซ, โรเบิร์ตสัน, มิลเนอร์, เฮนเดอร์สัน ©, ไวจ์นัลดุม, ซาลาห์, มาเน่, และสเตอร์ริดจ์

สำรอง: มินโญเลต์, ฟาบินโญ่, เกอิต้า, เฟอร์มิโน่, โมเรโน่, ชากิรี และมาติป  

Team News อัพเดตก่อนเกม:  คล็อปป์ปรับทีมจากเกมชนะท็อแนม ฮอตสเปอร์ส ด้วยการส่งเฮนเดอร์สัน และสเตอร์ริดจ์ ลงมาแทนเกอิต้า และเฟอร์มิโน่ ที่รายหลังได้รับบาดเจ็บที่ดวงตา แต่ก็ยังมีชื่อเป็นสำรองในนัดนี้

จังหวะสำคัญในเกม

  • นาที 30 สเตอร์ริดจ์โหม่งให้ลิเวอร์พูลนำ 1-0
  • นาที 36 มิลเนอร์ยิงจุดโทษเข้าไปให้ทีมนำ 2-0
  • นาที 40 มูนิเยร์ยิงให้เปแอสเชตามมา 1-2
  • นาที 83 เอ็มปัปเป้ตีเสมอ 2-2
  • นาที 90+1 เฟอร์มิโน่ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ 3-2

เกมในครึ่งแรก

แอนฟิบด์พร้อมอีกครั้งสำหรับค่ำคืนยุโรป โดยเกมเปิดรายการแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาล 2018-19 ของลิเวอร์พูลเริ่มต้นด้วยการรับการมาเยือนของปารีส แซงต์-แชร์กแมง โดยทั้งสองทีมยังไม่พ่ายแพ่ในลีกนับตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา

เกมในช่วง 10 นาที แรกของเกม เป็นลิเวอร์พูลที่มีโอกาสมากกว่า จากลูกยิงของฟาน ไดจ์ค, มิลเนอร์, ซาลาห์ และมาเน่ แต่ทีมเยือนยังลงมาป้องกันไว้ได้ทัน

แต่ในนาที 17 เนย์มาร์ล็อกบอลหลบอเล็กซานเดอร์-อาร์ดนลด์ ก่อนที่จะยิง แต่อลิสสันปัดออกมา คาวานีเข้ามาซ้ำ แต่ฟาน ไดจ์ค เข้ามาขวางไว้ ทำให้ยิงไม่แรง และบอลตรงตัวอลิสสัน ก่อนจะจ่ายบอลเร็วหมายจะให้ซาลาห์ แต่กรรมการเป่าให้เป็นจังหวะฟาวล์ของซาลาห์ไปก่อน

ฟาน ไดจ์ค ได้รับใบเหลืองในนาที 27 หลังจากเข้าสกัดเอ็มบัปเป้

ลิเวอร์พูลมาได้ประตูขึ้นนำ 1-0 ในนาที 30 เมื่อโรเบิร์ตสันได้บอลจากเทรนต์ ที่โยนเลยมาทางฝ่งขวา ก่อนโยนโด่งเข้าไปให้สเตอร์ริดจ์เข้ามาโฉบโหม่งในกรอบ

เปแอสเชพยายามขึ้นบุกเพื่อทวงประตูคืน และทำได้ใกล้เคียงจากเอ็มบัปเป้ในนาที 35 ที่ยิงข้ามคานเพียงนิดเดียว

แต่หลังจากนั้น ลิเวอร์พูลมาได้ประตูนำ 2-0 เมื่อไวจ์นัลดุมถูกผลักล้มลงในเขตโทษ กรรมการให้เป้นลูกจุดโทษอย่างไม่ลังเล และมิลเนอร์รับหน้าที่สังหารเข้าไปในนาที 36

แต่ทว่าในนาที 40 มูนิเยร์ยิงตีตื้นเข้ามา จากจังหวะที่ดิ มาเรีย เปิดเข้ากลาง บอลไปกระเด้งโดนโรเบิร์ตสัน และมูนิเยร์ซัดสวนทางเข้าไป อลิสสันหมดสิทธิ์รับ

ทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก 1 นาที

เกมในครึ่งหลัง

ลิเวอร์พูลต้องเล่นเกมรับตั้งแต่ลงเล่นครึ่งหลัง และเป็นโรเบิร์ตสันที่ต้องสกัดลุกยิงของคาวานี่ในนาที 46 และจากนั้นในาที 58 ซาลาห์ยิงประตูเข้าไป แต่กรรมการให้จังหวะแย่งบอลในจังหวะก่อนหน้านี้ของสเตอร์ริดจ์ที่เข้าปะทะกับอเรโอล่าให้เป็นจังหวะฟาวล์ไปเสียก่อน

สเตอร์ริดจ์ได้โอกาสโหม่งในนาที 61 หลังได้บอลยาวที่วางมาโดยเทรนต์ แต่เบาเกินไปจึงยังไม่ผ่านมือ

คล็อปป์ส่งเฟอร์มิโน่ลงมาแทนสเตอร์ริดจ์ในนาที 72 และในจังหวะต่อมาฟาน ไดจ์คโหม่งตั้งกลับไปตรงกลางประตู ซาลาห์วิ่งเข้ามายิง บอลหลุดกรอบออกไป

ในนาที 82 มาเน่เกือบทำประตูได้ แต่บอลหลุบกรอบไป แต่ในนาที 83 เอ็มบัปเป้ยิงตีเสมอให้ทีมเยือน

คล็อปป์ส่งชากิรีลงมาแทนซาลาห์ในนาที 84

มาเน่ถูกสกัดล้มลงนอกกรอบเขตโทษ ลิเวอร์พูลได้ฟรีคิกในนาที 87 และเทรนต์ชิงชนสามเหลี่ยมออกหลังไปอย่างน่าเสียดาย

กรรมการทดเวลาบาดเจ็บครึ่งหลัง 3 นาที และลิเวอร์พูลได้เตะมุม

เกมที่ทำท่าว่าจะลงเอยด้วยการเสมอ จบลงด้วยสามแต้มของลิเวอร์พูล เมื่อเฟอร์มิโน่ยิงไกลเข้าไปในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ให้ลิเวอร์พูลเก็บชัยชนะได้สำเร็จ