เกมแรกในยุโรปที่แอนฟิลด์ในฤดูกาลนี้ จะเข้าไปอยู่ในรายการคลาสสิก แมตช์ ของสนามแห่งนี้ทันที หลังจากหงส์แดงเอาชนะปารีส แซงต์-แชร์กแมง อย่างงดงามในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ

และนี่คือ 5 ประเด็นที่น่าสนใจจากค่ำคืนที่น่าตื่นต้นที่แอนฟิลด์...

ประตูปิดท้ายเกมของเฟอร์มิโน่

กองหน้าทีมชาติบราซิลลงเป็นตัวสำรองในนาทีที่ 70 ซึ่งนับเป็นเกมที่ 150 ในการลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ก่อนหน้าเพียงไม่นานที่คิลิยัน เอ็มบัปเป้จะตีเสมอเป็น 2-2  อย่างไรก็ตามนักเตะวัย 26 ปี ได้บอลจากลูกเปิดทางฝั่งขวาของเขตโทษจากฟาน ไดจ์ค ก่อนจะสลับบอลจากเท้าซ้ายกลับมาที่เท้าขวาอีกครั้ง แล้วซัดเสียบเสาไกลอย่างงดงาม ท่ามกลางเสียงเฮของแฟนบอลทั้งสนาม

ประตูดังกล่าวทำให้เฟอร์มิโน่ทำสถิติเท่ากับเดิร์ก เคาต์ และเทอร์รี แม็คเดอร์ม็อตต์ ในสถิติดาวยิงตลอดกาลในยูโรเปียน คัพ/แชมเปียนส์ลีก มีเพียงสตีเวน เจอร์ราร์ด (30 ประตู) และเอียน รัช (14 ประตู) ที่มีสถิติเหนือกว่าเขา

ช่วงเวลาที่พิเศษของสเตอร์ริดจ์

นับเป็นเรื่องแปลกมากที่สเตอร์ริดจ์ไม่เคยลงตัวจริงในแชมเปียนส์ลีกให้ลิเวอร์พูลนับตั้งแต่การมาของ FSG จนมาถึงเกมนัดนี้ ข้อเท็จจริงคือเขาเคยลงเล่นในรายการนี้ตั้งแต่ก่อนย้ายมาร่วมทีม 2,379 วันก่อนหน้านี้ในเดือนมีนาคม 2012

แต่เจ้าของเบอร์ 15 คว้าโอกาสที่รอคอยมานานด้วยการโหม่งทำประตูปลดล็อกในเกมเจอกับทีมแชมป์จากฝรั่งเศส จากลูกครอสอันสมบูรณ์แบบของแอนดี โรเบิร์ตสันที่อัฒจันทร์เดอะ ค็อป

แม้ว่าสถิติตัวจริงจะมีช่องว่างมากมาย สเตอร์ริดจ์ยังมีส่วนสำคัญอย่างต่อเนื่องกับประตูในรายการนี้ของลิเวอร์พูล เมื่อเขาทำสถิติจาก 4 เกมติดต่อกันด้วยการยิง 2 ประตู และ 2 แอสซิสต์

มิลเนอร์โชว์คลาสในแดนกลาง

มิลเนอร์ยังต่อยอดฟอร์มในฤดูกาล 2018-19 ด้วยคุณภาพที่แสดงออกมาในสนาม และขึ้นเกมจากแดนกลางทุกจังหวะที่มีโอกาส โดยเฉพาะการเข้าสกัดบอลจากเนย์มาร์ต้นครึ่งแรกเป็นการปูทางจังหวะการเล่นตลอดทั้งเกม

เจ้าของเสื้อเบอร์ 7 จ่ายบอล 44 ครั้ง และ30 ครั้งเกิดขึ้นในแดนคู่แข่ง ครอส 9 ครั้ง จับบอล 70 ครั้ง ดวล 12  ครั้ง เข้าสกัด 5 ครั้ง ตัดบอล 1 ครั้ง สกัดทิ้ง 1 ครั้ง และเก็บบอลคืนมาได้ 4 ครั้ง ไม่รวมจุดโทษอันแม่นยำ แม้อัลปอนเซ่ อเรโอล่าจะพุ่งถูกทาง แต่ความแรง และการวางเท้าที่ดีทำให้ลูกยิงของเขาเอาชนะผู้รักษาประตูเข้าไปได้

หงส์แดงสร้างสถิติทำประตูในยุโรป

สามประตูในค่ำคืนนี้ทำให้ลิเวอร์พูลยิงไปรวม 44 ประตูนับตั้งแต่เริ่มต้นฤดูกาลที่แล้วในรายการนี้ โดยไม่มีทีมใดในยุโรปทำได้เท่า โดยจาก 14 เกมมีค่าเฉลี่ยมากกว่า 3 ประตูต่อนัดทีเดียว

ทีมของคล็อปป์ยังเล่นได้อย่างกระตือรือร้นในแอนฟิลด์ โดยทำไป 34 ประตูจาก 10 เกมในสนามแห่งนี้ มีเพียงปอร์โต้ที่รอดกลับไปแบบไม่เสียประตู

ความได้เปรียบของลิเวอร์พูลในกลุ่ม ซี

ขณะที่หงส์แดงพยายามอย่างหนักในการเอาชนะเปแอสเช เกมระหว่างเร้ดสตาร์ เบลเกรด และนาโปลีจบลงแบบไม่มีสกอร์ นั่นทำให้ไม่มีความต่างระหว่างทีมวางจากโถที่ 4 และ 2 ตามลำดับ แปลว่าลิเวอร์พูลนำคู่แข่งอย่างน้อย 2 แต้มหลังผ่านเกมแรก

นับเป็นความได้เปรียบเล็กๆ ก่อนเกมแชมเปียนส์ลีก นัดถัดไป ที่พวกเขาจะต้องไปเยือนนาโปลีต้นเดือนตุลาคม

More news