ลิเวอร์พูลยังรักษาสถิติไร้พ่ายในลีกต่อไป เมื่อแดเนียล สเตอร์ริดจ์ ลงจากม้านั่งสำรองมาทำประตูให้ทีมลิเวอร์พูล ตีเสมอเชลซี 1-1 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์

รายชื่อนักเตะ

11 ตัวจริง: อลิสสัน, อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ฟาน ไดจ์ค, โกเมซ, โรเบิร์ตสัน, เฮนเดอร์สัน ©, ไวจ์นัลดุม, มิลเนอร์, มาเน่, ซาลาห์ และเฟอร์มิโน่

สำรอง: มินโญเลต์, ฟาบินโญ่, เกอิต้า, สเตอร์ริดจ์, โมเรโน่, ชากิรี และมาติป   

Team News อัพเดตก่อนเกม: คล็อปป์ เปลี่ยนแปลงทีม 2 ตำแหน่งจากเกมล่าสุดในพรีเมียร์ลีก โดยเปลี่ยนโกเมซ และมิลเนอร์ ลงมาแทนมาติป และชากิรี

จังหวะสำคัญในเกม

  • นาที  25 อาซาร์ยิงให้เชลซีนำ 1-0
  • นาที 89 สเตอร์ริดจ์ตีเสมอ 1-1

เกมในครึ่งแรก

ลิเวอร์พูลไปเยือนสแตมฟอร์ด บริดจ์ ด้วยความหมายมั่นที่จะแก้มือจากการที่ตกรอบคาราบาว คัพ หลังพ่ายให้เชลซีในเกมกลางสัปดาห์ รวมทั้งพยายามทำคะแนนหนีห่างทีมหัวตารางที่ใกล้เข้ามา โดยก่อนเกม แมนฯ ซิตี้ แซงขึ้นไปยึดอันดับที่ 1 โดยมีคะแนนมากกว่า 1 คะแนน และเล่นมากกว่า 1 นัด

ในช่วง  10 นาทีแรกของเกม ลิเวอร์พูล มีโอกาสที่ใกล้เคียงที่สุดในนาที 11 ที่ซาลาห์ได้โอกาสยิง แต่บอลไม่เข้ากรอบ  และในนาที 14 มาเน่ได้ยิงเช่นกัน หลังเฟอร์มิโน่ไหลบอลให้ แต่ไม่เข้ากรอบ

ลิเวอร์พูลได้เตะมุมในนาที 18 หลังเฟอร์มิโน่ถูกสกัดในกรอบเขตโทษ บอลออกหลัง แต่ลิเวอร์พูลยังไม่สามารถใช้จังหวะเซตพีซทำอันตรายเชลซีได้

ซาลาห์ตัดสินใจจ่ายให้เฟอร์มิโน่ในนาที 22 หลังพาบอลเข้าไปในกรอบ แต่บอลแรงเกินไป และในขณะเดียวกัน จากจังหวะโต้กลับที่ลุยซ์วางบอลยาว เชลซีได้ลุ้นประตู แต่อลิสสันอ่านเกมและออกมาเซฟลูกยิงของวิลเลียนไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม

เชลซีมาได้ประตูในนาที 25 เมื่ออาซาร์ได้บอลทะลุขึ้นมาก่อนยิงผ่านมืออลิสสันเข้าไปให้ทีมเจ้าบ้านนำก่อน 1-0

ลิเวอร์พูลได้ฟรีคิกในนาที 31 หลังมิลเนอร์ถูกทำฟาวล์ แต่กรรมการให้ลูกโหม่งสกัดเป็นบอลที่ลิเวอร์พูลทำออก

ซาลาห์ได้โอกาสในนาที 32 หลังใช้ความเร็วพาบอลขึ้นมา หลังเฟอร์มิโน่กระดกบอลตามน้ำที่ได้มาจากมาเน่ให้ ก่อนที่ซาลาห์จะล็อกหลบผู้รักษาประตู และยิง แต่ถูกรูดิเกอร์สกัดออกมาจากเส้นอย่างหวุดหวิด

มาเน่ได้รับใบเหลืองในนาที 39 เมื่อเข้าปะทะกับอาซาร์

ซาลาห์ดึงผู้เล่นเข้ามารุ่มก่อนที่จะเลือกเปิดให้เฟอร์มิโน่ที่เสาไกล ในนาที 41 แต่น่าเสียดายที่บอลแรงออกหลังไป และในนาที 44 มาเน่ตีลังกายิง แต่บอลไม่เข้ากรอบ

กรรมการเป่าจบครึ่งแรก หลังทดไป 1 นาที

เกมในครึ่งหลัง

เมื่อเปิดครึ่งหลังมา เชลซียังบุกหนัก และได้โอกาสจากการโยนยาว แต่กองหลังลิเวอร์พูลมาช่วยกันเคลียร์ไว้ได้ รวมทั้งในนาที 48 ที่มิลเนอร์เสียบอล และถูกโต้กลับ แต่มิลเนอร์ยังกลับมาสกัดบอลสุดท้ายไว้ได้ รวมทั้งจังหวะบล็อกบอลของฟาน ไดจ์ค ที่ทำให้ทีมยังไม่เสียประตูเพิ่ม

มาเน่ได้บอลจากเฟอร์มิโน่ในนาที 58 ก่อนจะล้มตัวยิง แต่ยังถูกปัดปลายมือ จากนั้นซาลาห์ได้ยิงไกล แฉลบออกหลัง จากนั้นเชลซีเล่นโต้กลับ โดยก็องเต้ผ่านบอลให้วิลเลียนขึ้นมา แต่ฟาน ไดจ์ค วิ่งลงมาเบียดสกัดออกไป

อลิสสันต้องเซฟอีกครั้งในนาที 64 เมื่อก็องเต้เล่นเร็ว และวางบอลให้อาซาร์หลุดเดี่ยวขึ้นมายิง แต่อลิสสันเซฟไว้ได้

ในนาที 66 คล็อปป์ส่งชากิรีลงมาแทนซาลาห์

อลิสสันเซฟอีกครั้งในนาทีนาที 69 ก่อนที่โรเบิร์ตสันจะเข้ามาช่วยเคลียร์บอล ก่อนที่ในนาที 70 ลิเวอร์พูลจะพลาดตีเสมอ เมื่อโรเบิร์ตสันได้บอลที่กราบซ้าย ก่อนจะเปิดเข้ากลาง แต่ชากิรีโดนบอลไม่เต็ม บอลจึงเฉี่ยวเสาออกไป และในนาที 73 เฟอร์มิโน่ได้โหม่ง แต่ลุยซ์ก็ยังสกัดบอลไว้ได้ที่หน้าประตู

มิลเนอร์ต้องตัดสินใจเสียบสกัดโมเซสที่ได้บอลวิ่งขึ้นหน้า ลิเวอร์พูลเสียฟรีคิก อาซาร์โยนเข้าไปแต่กรรมการให้เป็นจังหวะล้ำหน้า

คล็อปป์เตรียมส่งเกอิต้าลงมาแทนเฮนเดอร์สัน ในนาที 78

อลิสสันช่วยเซฟอีกสองจังหวะจากการอ่านเกมเร็วและออกมาช่วยเคลียร์บอล หลังไวจ์นัลดุมจ่ายสั้นในนาที 83 ลิเวอร์พูลจึงยังอยู่ในเกม

มาเน่ถูกสกัดล้มลง ก่อนที่ชากิรีรับหน้าที่ยิงฟรีคิกในนาที 84 แต่บอลเข้ามือผู้รักษาประตู

คล็อปป์ส่งสเตอร์ริดจ์ลงมาแทนมิลเนอร์ ในนาที 87 ปลอกแขนกัปตันทีมอยู่ที่ฟาน ไดจ์ค

ลิเวอร์พูลมาได้ประตูตีเสมอจากสเตอร์ริดจ์ในนาที 89 เมื่อยิงไกลสุดสวยมุดเข้าประตูไปอย่างสวยงาม

กรรมการทดเวลาบาดเจ็บครึ่งหลัง 4 นาที

เชลซีได้ฟรีคิกท้ายเกม เกอิต้าโหม่งออก ก่อนที่จะได้เตะมุมในจังหวะต่อมา ก่อนที่อลอนโซ่จะเข้ามาโหม่ง แต่ออกหลังไป และนั่นเป็นจังหวะสุดท้ายของเกม

ลิเวอร์พูลยังรักษาสถิติไม่แพ้ใครในลีกต่อไป โดยมี 19 คะแนนเท่ากับแมนฯ ซิตี้ แต่ต้องอยู่อันดับสอง  เพราะประตูได้เสียน้อยกว่า