Match Report: ลิเวอร์พูลสู้กลับมาชนะเบิร์นลีย์ที่เทิร์ฟ มัวร์
ลิเวอร์พูลกลับมาเอาชนะเบิร์นลีย์หลังจากถูกนำไปก่อน โดยยิงคืนรวดเดียว 3 ประตู ก่อนชนะไปด้วยสกอร์ 1-3 ในเกมที่เทิร์ฟ มัวร์ สเตเดียม พร้อมสร้างสถิติไม่แพ้ใคร 15 นัดในพรีเมียร์ลีก ตั้งแต่เปิดฤดูกาล
รายชื่อนักเตะ
11 ตัวจริง: อลิสสัน, โกเมซ, ฟาน ไดจ์ค, มาติป, โมเรโน่, เฮนเดอร์สัน © , มิลเนอร์, เกอิต้า, ชากิรี, สเตอร์ริดจ์ และโอริกี
สำรอง: มินโญเลต์, ฟาบินโญ่, เฟอร์มิโน่, ซาลาห์, ลัลลานา, กามาโช่ และอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์
Team News อัพเดตก่อนเกม: ลิเวอร์พูลเปลี่ยนแปลงทีม 7 ตำแหน่ง โดยอลิสสัน, โกเมซ, ฟาน ไดจ์ค และชากิรี เป็นสี่นักเตะที่ยึกตำแหน่งไว้ได้จากเกมที่แล้ว ส่วนเฮนเดอร์สันกลับมามีชื่อในทีม และเป็นกัปตันในเกมนี้ที่เทิร์ฟมัวร์ ส่วนลอฟเรนได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะระหว่างการซ้อม
โดยคล็อปป์ให้ความเห็นสำหรับการจัดตัวในนัดนี้ว่า
“มันเป็นเรื่องปกติสำหรับช่วงนี้ของฤดูกาล
“ผมบอกนักเตะในการประชุมทีมว่า ผมทำงานนี้มาสักพัก และหากมีใครมาบอกผมเมื่อ 15 ปี ที่แล้วว้าผมจะเปลี่ยนทีม 7 ตำแหน่ง และจัดนักเตะ 11 ตัวจริงแบบนั้น ผมคงบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้
“เราทำเพราะว่าเราทำได้ และเพราะว่าเราต้องลงเล่นด้วยเหตุผล 2-3 เคส และเพราะว่าทำได้เพราะเรามีนักเตะเหล่านี้ พวกเขาซ้อมหนักมาก
“กองกลางลงเล่นหลายเกมแล้ว เราต้องเปลี่ยนมิดฟิลด์ ซึ่งเป็นพื้นที่ซึ่งเข้มข้นที่สุด การใช้แดเนียลก็ชัดเจน ดิฟหลังจากเกมล่าสุดก็สมเหตุสมผล ซึ่งเป็นการใช้โมเมนตัม หรือการพยายามใช้มัน ส่วนอัลเบร์โต เพราะร็อบโบลงเล่นทุกเกมจนถึงตอนนี้ จินีก็เช่นกัน
“มันมีเหตุผลเสมอ แต่สุดท้ายแล้ว คุณเปลี่ยนอย่างเดียวไม่ได้ คุณต้องทำให้แน่ใจว่ามันเหมาะสม และลงตัว การซ้อมสองเซสชั่นที่เราได้ทำ เป็นการซ้อมในส่วนนั้น มันดูดีมากๆ ดังนั้นผมตั้งตารอเกมนี้
จังหวะสำคัญในเกม
- นาที 54 คอร์กยิงให้เบิร์นลีย์ 1-0
- นาที 62 มิลเนอร์ตีเสมอให้ลิเวอร์พูล 1-1
- นาที 69 เฟอร์มิโน่ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ 2-1
- นาที 90+1 ชากิรียิงให้ลิเวอร์พูลนำ 3-1
เกมในครึ่งแรก
ลิเวอร์พูลลงเล่นเกมที่ 15 ในพรีเมียร์ลีก ด้วยการไปเยือนเบิร์นลีย์ ที่เทิร์ฟ มัวร์ สเตเดียม โดยเกมนัดนี้คล็อปป์เปลี่ยนแปลงทีมถึง 7 ตำแหน่ง
นาที 12 เบิร์นลีย์ได้วางบอลยาวหลุดมาถึงในกรอบของลิเวอร์พูล แต่นักเตะลิเวอร์พูลลงมาบีบได้ทัน จึงไม่มีโอกาสได้ยิง แต่ในนาที 14 ลิเวอร์พูลขึ้นเกมรุกมาบ้าง โมเรโน่ได้ยิง แต่ไม่เข้ากรอบ ส่วนในนาที 18 สเตอร์ริดจ์ได้บอลที่มิลเนอร์วางมา แต่เสียดายที่จับบอลแล้วบอลล้นออกหลังไป
โกเมซต้องออกจากสนามหลังจากได้รับบาดเจ็บในนาที 23 คล็อปป์จึงต้องส่งอเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ลงมาแทน
นาที 35 วู้ดตะบันเต็มข้อ บอลแฉลบเฉี่ยวคานออกหลัง เบิร์นลีย์ได้เตะมุม ฟาน ไดจ์ค โขกออกไปแต่บาร์สลีย์ได้บอลเก็บตกก่อนยิงสวนไป โชคดีที่ไม่ตรงกรอบ
ลิเวอร์พูลประสานงานกันในเกมรุกได้ดีขึ้น และในนาที 39 เกอิต้าได้ยิงหลังจากได้บอลไขว้มาจากสเตอร์ริดจ์ แต่ติดบล็อก
แต่ในขณะเดียวกัน เบิร์นลีย์กลับส่งบอลเข้าประตูได้ก่อนในนาที 41 เมื่อมาติปเสียฟาวล์ และจากลูกตั้งเตะ บาร์นส์วิ่งเข้ามารับลูกฟรีคิก ก่อนตวัดยิงเร็วทันที แต่กรรมการเป่าให้เป็นจังหวะล้ำหน้า
จบครึ่งแรก เสมอกัน 0-0
เกมในครึ่งหลัง
เบิร์นลีย์ได้โอกาสใกล้เคียงอีกครั้งในนาที 50 เมือ่ได้โหม่ง แต่กรรมการยกธงล้ำหน้า แต่ลิเวอร์พูลก็มีโอกาสเช่นกันในนาที 52 เมื่อเกอิต้ากดด้วยซ้าย ฮาร์ตต้องโชว์เซฟออกหลัง
ลิเวอร์พูลมาเสียประตูในนาที 54 เมื่อวู้ดจิ้มบอล อลิสสันปัด ก่อนที่บอลจะกระฉอกออกมา และคอร์กเก็บตกยิงเข้าไปให้เจ้าบ้านนำ 1-0
แต่เพียง 8 นาที ลิเวอร์พูลตีเสมอเบิร์นลีย์ จากลูกยิงของมิลเนอร์ที่มาจากการประสานงานของเกอิต้า และโอริกีที่ไหลมาให้อย่างพอเหมาะก่อนมิลเนอร์ซัดผ่านมือฮาร์ต เสียบเสาเข้าไปในนาที 62
คล็อปป์ส่งเฟอร์มิโน่ลงมาแทนโอริกีในนาที 66 และซาลาห์ลงมาแทนโมเรโน่
ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 2-1 จากจังหวะฟรีคิกที่ฟาน ไดจ์ค วิ่งขึ้นมารับบอลก่อนตวัดเข้ากลางให้เฟอร์มิโน่เข้ามาแท็บง่ายๆ
ลิเวอร์พูลเกือบได้ประตูใน นาที 82 แต่เบิร์นลีย์ช่วยกันสกัดได้ถึง 4 จังหวะ ทั้งจัหงวะยิงของซาลาห์ และเกอิต้า ที่สุดท้ายบาสลีย์ต้องเคลียร์ออกจากเส้น
กรรมการทด 4 นาที เบิร์นลีย์ได้เตะมุม ก่อนที่อลิสสันจะโชว์เซฟด้วยการปัดปลายมือ และจากนั้นในนาที 90+1 อลิสสันรีบเปิดบอลเร็วไปที่สเตอร์ริดจ์ ก่อนที่จะผ่านให้ซาลาห์กระดกบอลจังหวะเดียวให้ชากิรีที่วิ่งเข้ามาเติม ก่อนซัดเต็มข้อให้ลิเวอร์พูลนำ 3-1 และเก็บ 3 แต้มในที่สุด