ครั้งหนึ่งเคยมีการโต้เถียงกันในครอบครัวของแอนดี โรเบิร์ตสัน นักเตะแบ็กซ้ายตัวหลักของลิเวอร์พูล และกัปตันทีมชาติสกอตแลนด์ ในเวลานี้ว่า เขาไม่ใช่นักฟุตบอลที่เก่งที่สุด

สำหรับสตีเฟ่น พี่ชายที่เคยเป็นเจ้าของฉายา ‘หมาป่าในกรอบเขตโทษ’ สละทุกอย่างด้วยความเต็มใจเพื่อเปิดทางให้โรเบิร์ตสันคนน้องเดินสู่เส้นทางจนถึงระดับสูงสุดของเกมยุโรป

“เขาไม่ได้เคลื่อนที่มากนัก เขาเป็นกองหน้าทื่อๆ ที่มักจะปักหลักอยู่กับที่ แต่ทำประตูได้มากมาย” แอนดีเริ่มต้นการสนทนากับ Liverpoolfc.com พร้อมหัวเราะนิดหน่อย

“ตอนนี้ผมไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าเขายังทำได้ไหม! ผมได้คุยกับเขาเมื่อไม่นานมานี้ และเป็นครั้งแรกเลยที่เขามอบคำชมเล็กๆ น้อยๆ ให้กับผม เขาพูดว่า ‘ฉันไม่รู้ว่านายทำได้ยังไง เพราะว่าฉันเล่นบอลแบบทีมละ 5 คน สองเกมในหนึ่งสัปดาห์ และร่างแทบจะแตกเป็นเสี่ยง’ เขาอายุ 27 ปี ผมถือว่านี่เป็นคำชมเล็กๆ น้อยๆ จากเขา”

ในความเป็นจริง สตีเฟ่น ซึ่งเหมือนกับทุกคนในครอบครัวของโรเบิร์ตสันที่มีความสนิทสนมกัน ก็ให้การสนับสนุนน้องชายตัวน้อยที่ ‘น่ารำคาญ’ ของพวกเขาตลอดเวลา

“ทุกๆ คนมุ่งไปที่ความเสียสละ เขาต้องทำหลายอย่างเพื่อให้ผมมาถึงจุดนี้” เจ้าของเสื้อเบอร์ 26 ของลิเวอร์พูลกล่าวระหว่างการพูดคุยที่เมลวู้ด

“ผมแน่ใจว่าในหลายๆ ครั้ง มันเป็นเรื่องยากสำหรับเขา ถ้าเมื่อไหร่ที่พ่อแม่มาดูผม ไม่ว่าจะที่ใดในประเทศก็ตาม เขาจะถูกทิ้งให้อยู่กับลุงและป้า หรืออยู่ตัวคนเดียว ตอนที่เขาโตพอ”

“พวกเขาก็ยอมเสียสละสิ่งต่างๆ เหล่านี้ และเขาก็เต็มใจที่จะทำ และเมื่อคุณมองดู จริงๆ แล้วเขาสามารถปฏิเสธไม่ยอมทำก็ได้ แต่เขาก็ยินดีที่จะทำ”

“ผมให้กำลังใจเขา และเขาให้กำลังใจผมอย่างมากที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ นั่นเป็นความสัมพันธ์ที่เรามี และยังคงเป็นอย่างนั้น”

“ซัมเมอร์ที่แล้ว ผมไปงานรับปริญญาของเขา และเราได้ออกไปเที่ยวกัน เขาเข้ามาดูเกม มันแตกต่างกันนิดหน่อยในแง่กำลังใจ แต่ผมแน่ใจว่ามันสำคัญสำหรับเขา ในการที่ผมจะไปอยู่ที่นั่นในวันที่เขาเรียนจบ เช่นเดียวกับการที่เขาเข้ามาชมเกมต่างๆ ของผม”

เส้นทางของโรเบิร์ตสันไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหมือนกับตอนย้ายมาอยู่หงส์แดง เริ่มจากการพูดคุยกับพ่อแม่อย่างยากลำบาก หลังความฝันของเขากับเซลติกสิ้นสุดในวัย 15 ปี และโอกาสในทีมชุดใหญ่ของควีนส์พาร์กยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง แต่ฟุตบอลอาชีพยังเป็นเป้าหมายเดียว ในขณะที่คนอื่นๆ อยากให้เขากลับไปเรียนในระบบแบบเดิม โดยมีเป้าหมายในการเป็นผู้ฝึกสอนกีฬา แทนที่จะเป็นพักกีฬาเสียเอง

ในโลกคู่ขนาน เขาเองเกือบได้เป็นครูพละแล้ว

‘ขอเวลาให้ผมอีกหนึ่งปี’ เขาพูดกับครอบครัวหลังจากนั้น

“พ่อแม่ส่วนใหญ่อาจจะปฏิเสธ”โรเบิร์ตสันเล่าต่อ

“ช่วงแรกๆ พวกเขามีความสุขมากกับการที่ผมไม่มีงานต้องทำ และผมก็มีความสุข เพราะแผนคือต้องไปโรงยิมในระหว่างวัน และทำร่างกายให้บึ้กขึ้น เพราะว่าผมผอมมาก และก็ฝึกซ้อมฟุตบอล ไปซ้อม และต้องพร้อมสำหรับการฝึกซ้อม”

“แต่หลังจากนั้นผมอายุครบ 18 ปี และผมต้องการเงิน ผมต้องการงาน เพื่อนของผมทุกคนออกไปเที่ยวกลางคืน หรือรับประทานอาหารค่ำ แต่ผมต้องขอเงินจากพ่อแม่ ผมรู้ว่าพวกเขาจะให้ผม แต่อาจจะไม่พอใจนัก และผมไม่มีความสุขที่จะรับเงินมา ดังนั้นผมต้องเริ่มทำงาน และโชคดีมากที่ผมได้งาน”

“แต่มันไม่ได้ทำให้ผมเสียสมาธิ ช่วงเบรกพักเที่ยง ผมเข้ายิม ผมทำงานที่แฮมพ์เด้น ดังนั้นผมสามารถใช้สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างที่นั่นได้ ผมไม่ได้เสียสมาธิจากฟุตบอล และโชคดีมากที่มันให้ผลลัพธ์ออกมาในตอนท้าย”

“ผมได้สมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยไว้ 2-3 คอร์ส แต่พอถึงเดือนมกราคม หรือกุมภาพันธ์ ของฤดูกาล ผมรู้ว่าเมื่อสิ้นสุดฤดูกาล ผมจะมีตัวเลือกอย่างน้อยสองตัวเลือกในการเล่นฟุตบอลแบบเต็มเวลา ผมรู้ว่ามันเลื่อนออกไปก่อนได้ และอย่างน้อยก็ลองพยายามดูก่อน บางทีอาจจะให้เวลากับการเล่นฟุตบอลเต็มๆ สัก 1 ปี และดูว่าอะไรจะเกิดขึ้น

“เห็นได้ชัดว่าผลมันออกมาดีกว่านั้นมาก”

บางทีนั่นอาจจะน้อยไปด้วยซ้ำ

หลังจากลงเล่นดิวิชั่น 4 ของสกอตแลนด์กับควีนส์พาร์ก ตามด้วยลีกสูงสุดกับดันดี ยูไนเต็ด และ 3 ปี กับฮัลล์ ซิตี้ เขาย้ายมาลิเวอร์พูลในช่วงซัมเมอร์ปี 2017 แม้ต้องอดทนกว่าจะได้โอกาสลงตัวจริงในทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ในเดือนธ.ค. แต่เขาไม่เคยหันหลังกลับอีก และรับหน้าที่ในแชมเปียนส์ลีกนัดชิงชนะเลิศ และในฤดูกาลนี้ที่ทีมลุ้นแชมป์อย่างจริงจัง

ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมเต็มเปี่ยมด้วยพลัง และการสร้างสรรค์ ทำให้เขาชนะใจแฟนบอลหงส์แดงอย่างไม่ยากเย็นนัก แต่เขายังนอบน้อม และมีทัศนคติที่ดี เห็นได้จากการที่เขามักจะไปช่วยสนับสนุนงาน Food Bankในเมอร์ซีย์ไซด์ด้วยตัวเองเมื่อมีโอกาส

“พ่อแม่ของผมทำงานมาตลอดชีวิต ตอนนี้พวกเขาเกษียณแล้ว ผมมักจะนำทัศนคตินั้นมาใช้ในการทำงานเสมอ” เขาอธิบาย

“พวกเขาไม่ได้มีฐานะร่ำรวย แต่พวกเขามักจะมอบอะไรเล็กๆ น้อยๆ ให้กับการกุศลเสมอ ทุกคนในครอบครัวของเราทำเช่นนั้นเมื่อเราโตขึ้น พวกเขาเลี้ยงผม และพี่ชาย ไปในทางที่ถูกต้อง และหลังจากนั้น มันเป็นเรื่องของการทำแบบนั้นต่อไป”

การเติบโตของโรเบิร์ตสัน เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว นับจากทวีตในปี 2012 ที่โด่งดังตอนนี้ว่า 'ชีวิตในวัยนี้มันแย่มาก เมื่อไม่มีเงิน #needajob'  (อยากได้งาน) สู่เกมระดับสูงสุด สถานะคนดัง และในเดือนที่แล้ว กับสัญญาใหม่ระยะยาวของลิเวอร์พูลที่เชื่อมโยงเขากับโลกของความเป็นจริง

เพื่อนสนิทของเขายังคงเป็นคนที่เขาเจอที่เนอร์เซอรี เมื่อ 20 ปีก่อน แต่เขาก็ยังถ่อมตัวกับคำพูดที่ว่าเขาเป็นบุคคลต้นแบบ นอกเหนือไปจาก 90 นาทีที่เขาลงเล่นในสนามในแต่ละสัปดาห์

“แน่นอนว่ามันง่ายมากที่จะเหลิง แต่มันเป็นเรื่องของการพยายามมองภาพที่ใหญ่กว่านั้น” เขาตอบคำถามเกี่ยวกับความสมดุลกับการทำงานในระดับชนใช้แรงงาน และกับดักของการเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

“ตอนนี้ผมมีความรับผิดชอบ ในแง่ของลูกสองคน ที่หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะอยู่ในโลกใบนี้ไปอีกยาวนานหลังจากผมได้จากไปแล้ว มันเกี่ยวกับการวางรากฐานให้กับพวกเขาในอนาคตเช่นกัน และเกี่ยวกับการดูแลครอบครัวของผม”

“คุณอาจจะเหลิง และซื้อของดีๆ มากมาย แน่นอนว่าผมไม่ได้ต่อต้าน เพราะว่าคุณทำงานหนักเพื่อให้ได้สิ่งที่อยู่ในตอนนี้ ถ้าคุณต้องการให้อะไรกับตัวเอง คุณก็สมควรที่จะได้รับมัน ทุกๆ คนทำเรื่องนี้ แตบางทีอาจจะในระดับที่แตกต่างกัน ซึ่งถ้าคุณได้โบนัส หรือได้เงินเดือน ผู้คนจะซื้อของดีๆ ให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะราคา 20 ปอนด์ หรืออะไรก็ตาม มันยังคงเป็นหลักการเดียวกัน”

“มันเกี่ยวกับความพยายามจะใช้มันอย่างชาญฉลาด และมีความรับผิดชอบนั้น แต่ก็ยังอยู่ในโลกของความเป็นจริง และแบ่งปันให้กับคนที่ด้อยโอกาสกว่านิดหน่อย ที่เขาไม่ได้อยู่ในจุดนี้ คุณสามารถช่วยเหลือพวกเขาในแง่มุมเล็กๆ ผมคิดว่าด้วยวิธีการเล็กๆ แต่มันสามารถสร้างความแตกต่างเป็นอย่างมากให้กับพวกเขา”

ไม่มีอะไรที่ช่วยให้คุณติดดิน ได้เท่ากับการเป็นพ่อคนแม่คน หลายๆ ค่ำคืนที่โรเบิร์ตสันต้องเปลี่ยนอะดรีนาลีนจากเกมกับลิเวอร์พูล มาแบ่งปันหน้าที่กับราเชล ภรรยา ในการดูแลร็อกโก้ ลูกชายวัย 18 เดือน และเอเรีย ลูกสาวที่เพิ่งคลอด

“แน่นอนว่ามันเกิดขึ้นเสมอ” เขาหัวเราะเมื่อถูกถามว่าเขารับมือกับหน้าที่การเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อยแค่ไหน ในช่วงเวลาไม่กี่ชั่วโมงหลังจากได้รับการยกย่องสรรเสริญในแอนฟิลด์

“โชคดีมาก ที่เราสร้างกิจวัตรประจำวันที่ค่อนข้างดีให้กับลูกคนแรกแล้วในตอนนี้ ถ้ามันเป็นเกมในช่วงค่ำคืน เขาจะนอนหลับอยู่บนเตียง และผมจะเจอเขาในตอนเช้า คนที่สองยังเด็กเกินไปในตอนนี้ และแน่นอนว่าบางครั้งที่คุณลงเล่นเกม อาจจะชนะ หรือเล่นได้ดี และหลังจากนั้น 2-3 ชั่วโมงคุณต้องเปลี่ยนผ้าอ้อม หรือเช็ดอาเจียน หรืออะไรก็ตามที่เกิดขึ้นกับเธอ”

“แต่นี่เป็นส่วนหนึ่งของมัน มีคนมากมายที่ทำงานทั่วๆ ไป และพวกเขาต้องผ่านมันไปเหมือนกัน ฟุตบอลคืองานของเรา มันคืองานที่ดีที่สุด และเป็นงานอดิเรกที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่ยังคงเป็นงานอยู่ดี ยกตัวอย่าง พ่อแม่หลายคนต้องสอนทั้งวัน แต่หลังจากนั้นเมื่อกลับถึงบ้าน ก็ยังต้องมาทำหน้าที่พ่อแม่พ่อ”

“มันต้องพยายามหาสมดุลที่เหมาะสม และอยู่ที่นั่นกับเด็กๆ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และชัดเจนว่าก็โฟกัสในการทำงานของคุณเช่นกัน”

โรเบิร์ตสันทำผลงานได้ดีอีกครั้งในเกมชนะบอร์นมัธ 3-0 ที่แอนฟิลด์ รวมถึงแอสซิสต์ที่ 8 ในฤดูกาลนี้จากลูกที่หยอดให้จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม เข้าไปยิงสุดสวย แต่เขายังมีจุดที่มองว่าตนเองยังต้องแก้ไข

“ผมสามารถมีเกมการเล่นที่ดีที่สุดในโลก แต่ก็ยังทำผิดพลาดหนึ่งครั้ง เช่น การลื่น หรือเตะบอลออกจากสนาม และผมจะเดินเข้าไปหาเพื่อนๆ ของผมหลังจากนั้น และนั่นจะเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยเกี่ยวกับมัน” นักเตะวัย 24 ปีกล่าว

“นั่นคือวิธีการที่มันจะเป็นเสมอ ไม่ว่าตอนที่ผมอยู่ที่ควีนส์พาร์ก หรือลิเวอร์พูล และมันช่วยได้ ถ้าผมอยู่รายรอบด้วยเพื่อนๆ ที่เอาแต่ชมว่าคุณเยี่ยมแค่ไหน มันอาจจะแตกต่าง”

“ในแง่ของกำลังใจ ภรรยาของผมเป็นอีกระดับ เธอจะไปในทุกๆ เกมเหย้าเท่าที่จะทำได้ ชัดเจนว่าเกมเยือนยากกว่ามาก แต่เธอจะไปดูทุกเกมในบ้าน และไม่พลาดแม้แต่นัดเดียว”

“ถ้าเธอพลาดสักนัด เธอจะเสียดายมันมาก เธอชอบไปดูเกม และชอบมาให้กำลังใจผม”

“เธอดีขึ้นมาก ตอนเธอย้ายลงมาอยู่กับผมตอนแรกๆ ผมต้องฟังวิเคราะห์หลังเกมจากเธอ และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่ทุกคนจะต้องการ อันที่จริงมันเลวร้ายมาก! ถ้าผมพลาด หรือมีเกมแย่ๆ เธอจะเป็นคนแรกที่บอกผม”

“แต่นั่นคือความสัมพันธ์ในแบบของเรา เราเป็นคนสบายๆ”

จากเวลาที่ต้องรับโทรศัพท์จากแม่ถึงสี่สายต่อวัน เมื่อตอนที่ย้ายจากสกอตแลนด์มาอยู่กับฮัลล์ปี 2014 ได้ผ่านไปแล้วด้วยดี 'ผมต้องบอกให้เธอหยุด!' ดาวเตะหงส์แดงภาคภูมิใจกับความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับพ่อแม่อย่างชัดเจน

และการเดินทางของพวกเขามายังเมอร์ซีย์ไซด์อย่างเป็นประจำ ทำให้มร.โรเบิร์ตสันได้ผมกับชายที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดเมื่อเขาย้ายจากกลาสโกว์มาอยู่กับลิเวอร์พูล 4 ทศวรรษก่อนแอนดี

“เราผ่านเลาจ์นที่เคนนี ดัลกลิช อยู่เพื่อชมเกมทุกๆ นัด” ฟูลแบ็กเผย “กับสิ่งที่เขาทำกับเซลติก พ่อของผมรักเขา น่าจะคล้ายกับยุคของผมที่ชื่นชอบเฮนริก ลาร์สสัน”

“พ่อของผมเป็นแฟนเซลติกมาตลอด แต่เขาก็เริ่มจับตาดูลิเวอร์พูลเมื่อเคนนีย้ายลงมาที่นี่ เป็นเพราะเคนนี ดัลกลิช เลย ที่มีอิทธิพลอย่างมาก”

“ครั้งแรกที่ผมได้เจอกับเขา คือเกมสุดท้ายของฤดูกาลที่แล้วกับไบรท์ตัน ผมไม่เคยเห็นพ่อผมบ้าดารา ผมคิดว่าเขาแค่พูดไม่ออก มันเป็นเรื่องที่ดีที่ได้เห็น เพราะว่าคุณไม่ค่อยได้เห็นสิ่งนี้”

“เคนนีดีกับผมมากๆ และภรรยาของผมตั้งแต่เราย้ายลงมา ครอบครัวของเขาทุกคนดีกับเรามาก”

“สำหรับเขาที่สละเวลานิดหน่อยในการมาคุยกับพ่อของผม เป็นความใจดีของเขา แม่ของผมก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน เธอชอบเขา แต่ไม่มากขนาดพ่อของผม เขาได้พูดคุยกันส่วนตัว การเห็นพ่อของผมมีปฏิกิริยาแบบนี้เป็นเรื่องที่ดีมาก”

แต่ลักษณะส่วนตัวเหล่านี้มีอิทธิพลต่อสภาพจิตใจของนักเตะอย่างไร? โรเบิร์ตสันมีความกลัวต่อความล้มเหลวหรือไม่? หรือรู้สึกว่าไม่มีอะไรจะเสีย?

“ทัศนคติของผมเมื่อลงสู่สนามทุกครั้งคือไม่เกรงกลัวสิ่งใด ผมไม่เคยลงเล่นโดยเกรงกลัวอะไรต่างๆ หรือใครก็ตาม” เขาตอบอย่างรวดเร็ว

“เราลงเล่นเกมที่มีความผิดพลาดต่างๆ เกิดขึ้น และมันคือวิธีการที่คุณจะรับมือกับเรื่องนี้ คุณอยู่ในทีมที่คุณสามารถเป็นฮีโร่ ทุกอย่างเกี่ยวกับการรับมือในเรื่องนี้ (การเลี้ยงดูผม) เป็นไปได้ว่ามีส่วนกับมันนิดหน่อย”

“ผมจะไม่บอกว่าผมไม่มีอะไรจะเสีย เพราะตอนนี้เดิมพันสูงมาก แน่นอนว่าถ้าคุณทำได้ต่ำกว่ามาตรฐาน (ของตัวเอง) คุณจะต้องเสียตำแหน่ง”

“ทัศนคติของผมในการลงเล่นเกมต่างๆ คือการลงเล่นโดยปราศจากความกลัวอยู่เสมอ พยายามเพลิดเพลินไปกับทุกๆ นาทีของมัน และทุ่มเท 100 เปอร์เซ็นต์ ผมมองตามความเป็นจริง ในทุกๆ เกม ใช่ว่าพวกเราทุกคนจะเล่นในระดับสูงสุดเท่าที่จะทำได้เสมอไป”

“แต่ผมเชื่อเสมอว่าถ้าเราทุ่มเททุกอย่าง 100 เปอร์เซ็นต์ ในบางวัน ทุกอย่างอาจจะไม่เข้าทาง คุณจะมีจังหวะจับบอลแย่ๆ เข้าสกัดผิดเวลา แต่ถ้าผมทุ่มเท 100 เปอร์เซ็นต์ คุณยังคงได้รับคำวิจารณ์ และคุณจะวิจารณ์ตัวเองได้ในแง่ฟอร์มการเล่น แต่คุณรู้ว่าคุณทำให้มันยากสำหรับคู่แข่งของคุณ นั่นคือทัศนคติที่ผมนำมาใช้ และจะเป็นอย่างนี้ต่อไปเสมอ

มันอาจจะเป็นการเดินทางดุจเทพนิยายของโรเบิร์ตสัน หากลิเวอร์พูลสามารถบรรลุความสำเร็จทั้งในพรีเมียร์ลีก และแชมเปียนส์ลีก ที่ถวิลหา

“ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น” เขากล่าว “ภาวนาให้เป็นอย่างนั้น”