ลิเวอร์พูลจะกลับมาลงสนามในแชมเปียนส์ลีกอีกครั้งในเกมต่อกับบาเยิร์น มิวนิก ทีมยักษ์ใหญ่แห่งบุนเดสลีกาที่แอนฟิลด์ในค่ำคืนวันอังคารนี้...

เกมรอบ 16 ทีมสุดท้ายระหว่างสองทีมยักษ์ใหญ่แห่งทวีปที่ต่างเป็นแชมป์ยูโรเปียน คัพ 5 สมัย จะเป็นการเจอกันครั้งแรก นับตั้งแต่หงส์แดงชนะคู่แข่งรายนี้ในยูฟา ซูเปอร์ คัพ ย้อนไปในปี 2001

ทีมแชมป์บุนเดสลีกาหลายสมัยตอนนี้อยู่ภายใต้การคุมทีมของนิโก้ โควัช ที่ผ่านรอบแบ่งกลุ่มในกลุ่ม อี ที่มีอาแจ็กซ์, เบนฟิก้า และเออีเคด้วยตำแหน่งจ่าฝูง ขณะที่ทีมของเจอร์เก้น  คล็อปป์จบอันดับสองในกลุ่ม ซี ตามหลังเปแอสเช โดยเข้ามาด้วยอันดับดีกว่านาโปลี และเร้ดสตาร์ เบลเกรด

ทั้งสองทีมตอนนี้รั้งรองจ่าฝูงลีกในประเทศ และดูเหมือนจะลงเล่นในเกมนี้ที่สูสีเป็นอย่างมาก

โดมินิก เรย์เนอร์จากเว็บไซต์สโมสรได้เลือก 3 ตัวแปรสำคัญจากเกมนี้ที่อาจจะชี้เป็นชี้ตายเกมการแข่งขัน...

ซาดิโอ มาเน่ v โจชัว คิมมิช

คิมมิชดาวเตะสารพัดประโยชน์ทีมชาติเยอรมนี ลงเล่นเกือบทุกนาทีในทีมของโควัช มากกว่าคนใดในทุกรายการฤดูกาลนี้ รวมถึงทุกวินาทีในแชมเปียนส์ลีก แบ็กขวาวัย 24 ปีสามารถปรับยืนในแดนกลาง หลังจากก่อนหน้านี้เคยเล่นในตำแหน่งไม่ถนัดอย่างเซ็นเตอร์แบ็กในทีมของเป๊บ กวาร์ดิโอล่า มาแล้ว แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการเล่นได้หลากหลายตำแหน่งของนักเตะรายนี้

นอกจากการยกย่องจากเป๊บแล้ว ซาบี เอร์นานเดซ ตำนานบาร์เซโลนาที่ติดตามผลงานของคิมมิชอย่างใกล้ชิด และหลังจากพบกับนักเตะในการเข้าแค้มป์ที่โดฮาในเดือนที่แล้วกล่าวว่า “เขาสามารถเป็นหนึ่งในนักเตะที่ดีที่สุดในวงการฟุตบอลจากการลงเล่นหลายตำแหน่ง และเขาน่าจะเป็นอยู่แล้ว

คิมมิชที่นำสถิติการทำแอสซิสต์ของบาเยิร์นที่ 12 ครั้งในฤดูกาลนี้ น่าจะได้ลงเล่นในฐานะเบอร์ 6 แต่การช่วยฟูลแบ็กในการรับมือมาเน่ที่กำลังเข้าฟอร์มที่แอนฟิลด์น่าจะเป็นภารกิจที่รอเขาอยู่ โดยเฉพาะดาวเตะเซเนกัลทำประตูได้ทุกเกมจาก 4 นัดหลังสุด และตามหลังตารางดาวยิงของทีมแค่โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เพียงรายเดียว

เจ้าของเสื้อเบอร์ 10 ที่โดยปกติจะลงทำเกมทางฝั่งซ้าย มักจะสอดขึ้นมาทำประตูสำคัญๆ เสมอ ไม่ว่าจะเป็นประตูตัดสินเกมในชัยชนะสุดตื่นเต้นเหนือคริสตัล พาเลซ 4-3 ในเดือนที่แล้ว หรือประตูช่วยให้ทีมมีแต้มจากผลเสมอ 1-1 กับเลสเตอร์ และเวสต์แฮม รวมถึงประตูแรกของเกมในชัยชนะเหนือบอร์นมัธ 3-0 ในเกมล่าสุด

จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม v เลออน โกเร็ตซ์ก้า

หลังเซ็นสัญญาย้ายจากชาลเก้ในช่วงซัมเมอร์ที่แล้ว นักเตะทีมชาติเยอรมนีกลายเป็นส่วนสำคัญในทีมของโควัช โดยมักจะยืนคู่กับติอาโก้เป็นฐานของแดนกลางในระบบ 4-2-3-1 โดยเขาเคยบอกว่าพื้นฐานการเล่นของเขาเหมือนกับบาสเตียน ชไวสไตเดอร์ และโทนี่ โครสที่สามารถทำประตูได้จากการยืนลึก และจ่ายบอลสร้างโอกาสให้กับเพื่อนร่วมทีม โดยสถิติสะท้อนให้เห็นในเรื่องนี้จาก 6 ประตู และ 3 แอสซิสต์ที่เขาทำในฤดูกาลนี้

การเล่นสไตล์ทั้งรับ และทุก ทำให้ยากจะจับเขาที่สามารถถอยลงต่ำ และขึ้นหน้าเพื่อหาช่องระหว่างการคุมจังหวะเกม และยังมีความโดดเด่นในด้านการยิงไกลที่มองข้ามได้ ซึ่งนั่นจะเป็นหน้าที่ของไวจ์นัลดุมกองกลางชาวดัตช์ ที่มีศักยภาพในการเล่นไม่แพ้กันทั้งในส่วนของเกมรับ และรุก

นักเตะวัย 28 ปีเริ่มต้นฤดูกาล โดยปรับจากการเล่นในบทบาทเบอร์ 6 มายืนเป็นตัวต่ำสุดในแดนกลาง แต่เกมระยะหลังเขากลับมายืนสูงขึ้นอีกครั้ง อย่างชัยชนะ 3-0 เหนือบอร์นมัธ เขายืนสูงในระบบ 4-3-3 และเป็นคนสร้างโอกาสทำทั้ง 3 ประตูให้กับเพื่อนร่วมทีม รวมถึงมีสถิติจ่ายบอลสำเร็จที่ยอดเยี่ยมถึง 91 % และยังทำประตูสุดสวยด้วยลูกหยอดจากจังหวะประสานงานกับแอนดี โรเบิร์ตสัน

ถ้าไวจ์นัลดุมสามารถโชว์ฟอร์มแบบเดิมได้ที่แอนฟิลด์ในวันอังคารนี้ เขาน่าจะสร้างปัญหาให้นักเตะอย่างโกเร็ตซ์ก้า และติอาโก้เป็นอย่างมาก

โจเอล มาติป v โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี

การต่อสู้ระหว่างสองคู่ปรับเก่าจากรูห์ ดาร์บี สมัยที่มาติปอยู่กับชาลเก้ และเลวานดอฟสกีอยู่ดับดอร์ทมุนด์ ทั้งคู่เจอกันมาแล้ว 7 ครั้งทุกรายการตลอด 4 ปีในช่วงเวลาดังกล่าว และสถิติสูสีอย่างมากเมื่อผลัดกันแพ้ชนะฝั่งละ 3 ครั้ง และเสมอ 1 ครั้ง แต่สองปีหลังจากนั้นรายแรกทำได้ดีกว่าเมื่อย้ายไปอยู่กับบาเยิร์น มิวนิก ก่อนที่มาติปจะย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล

แต่นั่นน่าจะทำให้กองหลังหงส์แดงรู้จักคู่แข่งในเกมนี้เป็นอย่างดี เช่นกันกับเจอร์เก้น คล็อปป์ ที่เคยดูแลนักเตะทีมชาติโปแลนด์ในช่วงเวลาที่เขาอยู่กับดอร์ทมุนด์ แต่สถิติของดาวยิงโปแลนด์นั้นน่าเกรงขามอย่างมาก เมื่อเป็นดาวซัลโวของทีมตลอด 4 ฤดูกาลหลังสุด ฤดูกาล 2017-18 (41 ประตู), ฤดูกาล 2016-17 (43 ประตู), ฤดูกาล 2015-16 (42 ประตู), ฤดูกาล 2014-15 (25 ประตู) และยังอยู่ในเส้นทางดังกล่าวกับ 25 ประตูในฤดูกาลนี้

นักเตะวัย 30 ปีเป็นเบอร์ 9 สไตล์คลาสสิกที่ทำได้ทุกอย่างใกล้กับบริเวณเขตโทษ เขามีสัญชาตญาณการทำประตูที่ยอดเยี่ยม เด็ดขาดในการยิงด้วยทั้งสองเท้า และลูกกลางอากาศ ซึ่งในบทบาทหน้าเป้าตัวเดียวเกมนี้เขาต้องเจอกับคนคุ้นเคยอย่างมาติป ที่ลงสนามทุกนาทีตลอด 4 เกมหลังสุดของหงส์แดงตั้งแต่หายเจ็บกระดูกเชิงกรานหัก

มาติปนำสถิติของทีมในการสกัดบอลทิ้ง 11 ครั้ง และตัดบอลได้ 2 ครั้งในเกมที่ลิเวอร์พูลเก็บคลีนชีตกับบอร์นมัธในนัดล่าสุด และน่าจะกลับมาคืนฟอร์มทันเวลาอย่างลงตัวที่สุด ในขณะที่เวอร์จิล ฟาน ไดจ์คต้องติดโทษแบนในเกมนี้