Match Report: ลิเวอร์พูลขึ้นจ่าฝูงหลังเฉือนสเปอร์สจากประตูท้ายเกม
ลิเวอร์พูลขยับขึ้นจ่าฝูงอีกครั้งหลังเก็บ 3 แต้ม เมื่อชนะทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ไปด้วยสกอร์ 2-1 ในช่วงท้ายเกมที่แอนฟิลด์
รายชื่อนักเตะ
11 ตัวจริง: อลิสสัน, อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, มาติป, ฟาน ไดจ์ค, โรเบิร์ตสัน, เฮนเดอร์สัน ©, ไวจ์นัลดุม, มิลเนอร์, มาเน่, ซาลาห์, และเฟอร์มิโน่
สำรอง: มินโญเลต์, ฟาบินโญ่, ลอฟเรน, เกอิต้า, ลัลลานา, ชากิรี และโอริกี
Team News อัพเดตก่อนเกม: เฮนเดอร์สัน และมิลเนอร์ ลงมาแทนฟาบินโญ่ และลัลลานา และนี่เป็นสองตำแหน่งที่คล็อปป์เปลี่ยนแปลงจากเกมเยือนฟูแล่ม
“แน่นอน เราเปลี่ยนแปลงผู้เล่นเพราะเรามีมากพอ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ดี ทุกคนต่างฟิตในตอนนี้ และนั่นก็ดีเช่นกัน ทุกคนอยู่ในสภาพที่ดี ซึ่งดีเข้าไปใหญ่
“เฮนโด้กลับมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ และซ้อมได้ดีมากๆ ส่วนมิลลีอยู่ที่นี่ตลอดสัปดาห์ จินี ก็เข้ามาและก็ดูดี และทั้งสามคนเล่นเข้ากันได้ดี
“ฟาบินโญ่ก็อยู่ในสภาพที่ดีมากๆ นาบีก็ดูดี อดัมก็ดี ดังนั้นทุกอย่างโอเค แต่สำหรับเกมนี้ เราคิดว่านี่เป็น 11 ตัวจริงที่ใช่ และเราก็สามารถเปลี่ยนอะไรระหว่างเกมได้ เราจะมาดูว่าเราจะทำอย่างไร”
จังหวะสำคัญในเกม
- นาที 16 เฟอร์มิโน่โขกให้ลิเวอร์พูลนำ 1-0
- นาที 70 มูร่ายิงให้สเปอร์สตีเสมอ 1-1
- นาที 90 อัลเดอร์ไวรัลด์ทำเข้าประตูตัวเองให้ลิเวอร์พูลนำ 2-1
เกมในครึ่งแรก
ลิเวอร์พูลลงเล่นเกมที่ 32 โดยกลับมาเล่นที่แอนฟิลด์ และรับการมาเยือนของทีมท็อตแนม ฮอตสเปอร์ และต้องการ 3 แต้ม เพื่อทำคะแนนไล่เมนฯ ซิตี้
ในช่วงแรกของเกม เป็นทีมเยือนที่ขึ้นบอลทำเกมรุกได้มากกว่า โดยอลิสสันตะครุบบอลก่อนจะถึงเคน แต่หลุดมือ ก่อนที่เทรนต์จะช่วยเข้ามาซ้อนตัดบอลออกไปได้ในนาที 4 ก่อนที่นาที 6 เทรนต์ต้องตัดบอลออกหลังอีกครั้งเพื่อสกัดเกมรุกของสเปอร์ส
หลังจากได้บุกอย่างจะแจ้งเป็นครั้งแรก ลิเวอร์พูลสามารถทำประตูได้ ในจังหวะที่โรเบิร์ตสันครอสบอลเข้ากลางมาให้เฟอร์มิโน่วิ่งสอดเข้าไปโหม่งเป็นประตู 1-0 ที่สวยงามในนาที 16
หลังจากขึ้นนำ ลิเวอร์พูลได้โอกาสอีกครั้งในนาที 20 เมื่อโรเบิร์ตสันเปิดให้ซาลาห์ ก่อนพลิกตัวไหลให้ไวจ์นัลดุม ก่อนที่จะส่งต่อให้มาน่ปั่นออกกรอบ ส่วนในนาที 21 เฟอร์มิโน่ไหลบอลให้ซาลาห์วิ่งสอดขึ้นไปรับบอล แต่ไม่มีจังหวะยิงจึงถูกสกัดออกหลังไป
หลังจากลิเวอร์พูลพยายามทำเกมรุกเพื่อประตูที่ 2 สเปอร์สเองก็มีโอกาสเช่นกันในจังหวะยิงของอัลลีในนาที 34 และจังหวะที่ฟาน ไดจ์ค ต้องบล็อกบอลจากเคน
ลูกปั่นของมาเน่ในนาที 38 ทำได้ใกล้เคียงมากๆ ก่อนที่จะจบครึ่งแรกโดยลิเวอร์พูลนำ 1-0
เกมในครึ่งหลัง
เมื่อกลับลงมาเล่นในครึ่งหลัง เกมยังเปิดเช่นเคยสำหรับสองทีม โดยเอริคเซ่นได้โอกาสยิงไกลแต่ไม่เข้ากรอบในนาที 46 แต่ในนาที 48 มิลเนอร์ผ่านบอลให้ไวจ์นัลดุม แต่ตักบอลไม่ข้ามแนวรับสเปอร์ส ก่อนที่มิลเนอร์จะได้โยนให้ฟาน ไดจ์ค ขึ้นโหม่งจากจังหวะเตะมุม แต่กดไม่ลง
ลิเวอร์พูลรอดเสียประตูหวุดหวิดในนาที 56 เมื่อเคนยิงด้วยซ้าย ก่อนที่อลิสสันจะทุบออกมา แต่บอลไปเข้าทางอิริคเซ่นเงื้อเท้ายิง แต่โรเบิร์ตสันเข้ามาช่วยกดดันไว้ได้
เมื่อเกมดำเนินมาถึงหนึ่งชั่วโมง ซาลาห์ได้โอกาสหลังตีคู่มากับมาเน่ ก่อนตัดสินใจยิงและติดบล็อกกองหลังสเปอร์ส
ลิเวอร์พูลสียเตะมุมในนาที 64 หลังมาติปสกัดบอลออกหลัง ก่อนบอลตกมาเข้าทางไวจ์นัลดุมเตะเคลียร์ออกไป ในช่วงนี้ลิเวอร์พูลดูเป็นฝ่ายเล่นเกมรับต้านทานผู้มาเยือน
ซาลาห์ได้โอกาสยิงในนาที 69 แต่บอลไม่มุดเข้ากรอบ
สเปอร์สมาได้ประตูตีเสมอจากจังหวะฟรีคิกที่เคนฉวยเล่นเร็ว และมูร่ายิงเข้าไปเป็น 1-1
ในนาที 76 เทรนต์ตัดสินใจยิง ยอริสเหินปัดปลายมือไปก่อนที่บอลจะมุดเข้าประตู จากนั้นคล็อปป์ส่งโอริกี และฟาบินโญ่ ลงมาแทนเฮนเดอร์สัน และมิลเนอร์ ในขณะที่เกมเหลือเวลา 13 นาที ก่อนทดเวลาบาดเจ็บ
ซาลาห์ถูกมูร่าดึงก่อนเข้าเขตโทษในนาที 79 ก่อนโอริกีรับหน้าที่ยิง บอลไปแฉลบเคนออกหลังไป ลิเวอร์พูลได้เตะมุมติดต่อกันสองครั้ง
ในช่วงท้ายเกม นาที 85 ซิสโซโก้เลือกยิงเอง และยิงข้ามคานออกไป
แต่ในนาที 90 ลิเวอร์พูลมาได้ประตูนำ 2-1 จากจังหวะเตะมุมที่ฟาน ไดดจ์ค ได้บอลแล้วเตะโด่งเข้ามาให้ซาลาห์โหม่งบอลเข้ากรอบ ก่อนที่ยอริสจะปัด แต่อัลเดอร์ไวรัลด์สกัดบอลเข้าประตูไป
จากนั้นนาที 90+3 คล็อปป์ส่งลอฟเรนลงมาแทนซาลาห์
สเปอร์สได้ฟรีคิกในวินาทีสุดท้ายของเกม ฟาน ไดจ์ค โหม่งสกัดไว้ได้ ก่อนเทรนต์เคลียร์บอลออกไป และกรรมการเป่านกหวีดจบเกม ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้อย่างหวุดหวิดและยังอยู่ในเส้นทางลุ้นแชมป์ลีกในช่วงโค้งสุดท้ายของฤดูกาล