การต่อสู้ในการแย่งแชมป์พรีเมียร์ลีกยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2018-19 เมื่อลิเวอร์พูลเฉือนนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ได้ถึงเซนต์ เจมส์ พาร์ก ด้วยสกอร์ 3-2

รายชื่อนักเตะ

11 ตัวจริง: อลิสสัน, อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ลอฟเรน, ฟาน ไดจ์ค, โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่, ไวจ์นัลดุม, เฮนเดอร์สัน ©, มาเน่, ซาลาห์ และสเตอร์ริดจ์

สำรอง: มินโญเลต์, มิลเนอร์, โกเมซ, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ชากิรี, โอริกี และมาติป



Team News อัพเดตก่อนเกม:  ลิเวอร์พูลเปลี่ยนแปลงทีม 4 ตำแหน่งในเกมกับนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด โดยสเตอร์ริดจ์กลับมาเป็นตัวจริง เช่นเดียวกับเฮนเดอร์สันที่คืนกลับตำแหน่งมิดฟิลด์ นอกจากนี้อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และลอฟเรน กลับมาสู่แนวรับ ในนขณะที่โกเมซ, มาติป, เกอิต้า และมิลเนอร์ หลีกทางให้หลังจากลงเล่นไปแล้วในเกมกับบาร์ซาเมื่อกลางสัปดาห์ โดยที่อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน มีชื่อในม้านั่งสำรองอีกครั้ง แต่เฟอร์มิโน่ยังคงพลาดลงสนามจากปัญหาที่กล้ามเนื้อเล็กน้อย       

จังหวะสำคัญในเกม

  • นาที 13 ฟาน ไดจ์ค โหม่งให้ลิเวอร์พูล นำ 0-1
  • นาที 20 อัตซูตีเสมอให้นิวคาสเซิล 1-1
  • นาที 28 ซาลาห์ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ 1-2
  • นาที 55 รอนดอนตีเสมอให้นิวคาสเซิล 2-2
  • นาที 86 โอริกีโหม่งให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 2-3

 

เกมในครึ่งแรก

เกมที่ 37 ของลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2018-19 คือการไปเยือนนิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ที่เซนต์ เจมส์ พาร์ก และลิเวอร์พูลต้องการคว้าสามแต้มเพื่อกลับไปยึดจ่าฝูงคืนจากแมนฯ ซิตี้ ที่จะลงเล่นในคืนวันจันทร์

ในช่วง 10 นาทีแรก ลิเวอร์พูลได้โอกาสจากซาลาห์ในนาที 10 แต่ยิงเข้าข้างตาข่าย และในนาที 12 ที่ยิงไปติดบล็อก ก่อนข้ามคานออกไป แต่นั่นเป็นโอกาสให้ลิเวอร์พูลได้เตะมุม และฟาน ไดจ์ค เข้ามาโหม่งให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ ในนาที 13

แต่เพียง 7 นาทีต่อมา นิวคาสเซิลมาตีเสมอได้หลังอัตซูได้ยิงเข้าไปโล่งๆ หลังบอลจังหวะสองกระเด็นมาเข้าทางให้เขายิงเข้าไป 1-1

ตั้งแต่ตีเสมอได้ เจ้าบ้านเริ่มบุกไม่หยุด และในนาที 26 เปเรซตวัดยิงชนคาน แต่เป็นลิเวอร์พูลที่ได้ประตูขึ้นนำ 2-1 เมื่อสเตอร์ริดจ์ตอกส้นให้เทรนต์เปิดไปในกรอบ และซาลาห์ตวัดตัวยิงเข้าไป ลิเวอร์พูลนำเจ้าบ้าน 2-1 เมื่อจบครึ่งแรก

เกมในครึ่งหลัง

เมื่อเริ่มครึ่งหลัง ลิเวอร์พูลเกือบได้โอกาสทำประตูในนาที 47 หลังโรเบิร์ตสันครอสบอลเข้าไปในกรอบ และสเตอร์ริดจ์เกือบได้โอกาสโหม่ง แต่ถูกตัดบอลออกหลังไปก่อน และในนาทีต่อมาซาลาห์ได้โอกาสยิงตามน้ำ แต่ไม่เข้ากรอบ

แต่ในนาที 50 รอนดอนได้โอกาสตวัดยิง แต่อลิสสันไม่พลาด ตะครุบบอลไว้ได้ ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะเล่นเกมรุกโดยมาเน่แทงบอลให้ไวจ์นัลดุมที่ทะลุไปรับบอลในกรอบ ก่อนจ่ายให้สเตอร์ริดจ์ แต่สเตอร์ริดจ์ยิงช้อนใต้บอลจึงโด่งข้ามคาน

แต่ลิเวอร์พูลมาเสียประตูในนาที 54 เมื่อรอนดอนยิงประตูได้จากจังหวะเคลียร์บอลจังหวะสองไม่ดี บอลมาที่รอนดอนวอลเลย์เข้าไปตีเสมอ 2-2  

หลังจากตีเสมอ ลิเวอร์พูลต้องเล่นเกมรับอยู่พักใหญ่ ก่อนที่เกมจะหยุดชั่วคราวหลังซาลาห์ปะทะกับผู้รักษาประตูก่อนลงไปเจ็บ และเล่นต่อไม่ได้ คล็อปป์จึงส่งโอริกีลงมาแทนซาลาห์ในนาที 73

ยิ่งเวลาผ่านไป ลิเวอร์พูลยังไม่สามารถเจาะแนวรับของเจ้าบ้านไปได้ คล็อปป์ส่งมิลเนอร์มาแทนลอฟเรนในนาที 84 ก่อนที่โอริกีได้โอกาสโยนเข้าไปในกรอบ แต่กองหลังนิวคาสเซิลเคลียร์ไปก่อนที่มาเน่จะเข้าถึง

ลิเวอร์พูลมาได้ฟรีคิกในนาที 86 ก่อนที่โอริกีจะได้ขึ้นโหม่งแฉลบเข้าประตูไปให้ขึ้นนำอีกครั้ง 3-2

กรรมการทดเวลาบาดเจ็บครึ่งหลัง 8 นาที ก่อนที่มิลเนอร์ได้รับใบเหลืองในนาที 90+2 เสียฟรีคิกแต่กำแพงป้องกันไว้ได้ จากนั้นลิเวอร์พูลจะโต้กลับโดยชากิรี แต่น่าเสียดายที่จังหวะจ่ายของชากิรีไปติดกองหลัง ทำให้นิวคาสเซิลพยายามโต้กลับมาบ้าง แต่ก็ล้ำหน้าในจังหวะที่เกือบหลุดเดี่ยว

จากจังหวะที่โอริกีจ่ายบอลออกข้าง ลิเวอร์พูลเสียเตะมุมในจังหวะต่อมาในนาที 90+6 แต่ก็แก้ออกมาได้ และลิเวอร์พูลคว้าสามแต้มในที่สุด พร้อมยึดจ่าฝูงคืนสำเร็จก่อนทีมแมนฯ ซิตี้ จะลงเล่นในคืนวันจันทร์