มันเป็นวันเสาร์ที่ 26 พฤษภาคม 2018 และโลกของลิเวอร์พัดเลี่ยนโคจรรอบเคียฟ

แฟนบอลหงส์แดงหลายพันคนอยู่ภายในเอ็นเสซี โอลิมเปียสกี สเตเดียม เพื่อชมเกมนัดชิงชนะเลิศที่เชฟเชนโก้ พาร์ก และตามบาร์รอบๆ เมืองหลวงของยูเครน ขณะที่หลายล้านคนชมเกมตามที่สถานที่รวมผลต่างๆ ไม่ว่าจะมีความแตกต่างของเวลาแค่ไหน รวมถึงเที่ยงวันที่แคริบเบียน ห่างไปไกลกว่า 9,000 กม. ที่เขาพยายามให้กำลังใจทีม และเตรียมพร้อมสำหรับมันในอนาคต

เขาไม่ใช่นักเดินทาง หรือแฟนบอลลิเวอร์พูลธรรมดา เขาคือ ดิว็อค โอริกี

 “ผมอยู่ในสาธารณรัฐโดมินิกันร่วมกับแม่ของผม เราพักอยู่ในโรงแรมสวยๆ และคนที่ทำงานที่นั่นเป็นแฟนบอลลิเวอร์พูล ซึ่งเขาเปิดออกจอในคาเฟ่ และผมได้นั่งดูพร้อมกับหวังว่า เราจะชนะในฐานะแฟนบอล” นักเตะเบลเยียมเปิดเผยในรายการพิเศษ Divock Origi: In My Life ทาง LFCTV

เขายอมรับว่า ฤดูกาลก่อนหน้านั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบาก และไม่ได้มีส่วนในการเดินทางสู่นัดชิงแชมเปียนส์ลีกของลิเวอร์พูล ในขณะที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในสัญญายืมตัวกับโวล์ฟสบวร์ก แต่ยังมีความเป็นไปได้ในการกลับไปแอนฟิลด์ ที่อยู่ในกระบวนการคิดของเขา

 “ในช่วงนั้น ผมเพิ่งพลาดเวิลด์ คัพ ผมมีฤดูกาลที่ยากลำบาก ดังนั้นผมต้องการเริ่มใหม่ และโยนทุกอย่างทิ้งไป” โอริกีอธิบาย

 “แต่นั่นคือ หนึ่งในความคิดของผม เพราะผมคิดว่าสองเดือนก่อนหน้านั้นในเดือนมกราคม ผมเกือบจะได้กลับไปที่ลิเวอร์พูล มันเกือบจะเกิดขึ้นเมื่อคิดถึงตอนนั้น แต่มันยังไม่ 100 เปอร์เซ็นต์ในเวลานั้น”

ในแง่ของเรื่องราว 12 เดือนหลังจากนั้น มันเกือบจะเรียกว่าเป็น ‘เทพนิยาย’ เมื่อเขาไม่ต้องดูเกมทางทีวี แต่เป็นคนลงสนาม และยังเป็นคนทำประตูให้หงส์แดงเอาชนะท็อตแนม ฮอตสเปอร์ ลบเลือนความทรงจำที่เจ็บปวดในเคียฟ

ก่อนทำประตูปิดท้ายในมาดริด มันจะไม่มีทางเป็นไปได้หากไม่มีการคัมแบ็กที่น่าอัศจรรย์ในเกมรอบรองชนะเลิศที่น่าอัศจรรย์ ที่เขาทำได้สองประตูอีกด้วย ถ้ามีใครบอกเขาถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้นตอนที่เขาดูเกมในปี 2018 จากอีกซีกหนึ่งของโลก โอริกีจะเชื่อหรือไม่?

 “เรื่องที่บ้าคือ ผมจำข้อความที่ส่งให้โค้ช (คล็อปป์) หลังเกม (ในเคียฟ)ได้” นักเตะวัย 24 ปีย้อนรำลึก

 “ผมไม่อยากจะพูดอะไรมากมาย แต่ส่งเป็นอีโมจิ พร้อมกับคำพูดว่า  "จงเข้มแข็ง จงก้าวต่อไป" และผมพูดว่า ‘เราจะกลับไปที่นั่นในฤดูกาลหน้า”

 “ข้อความนั้นไม่ได้ผ่านความคิด แต่ในหัวของผม ผมพูดว่า ‘เรา’ ราวกับว่าผมอยู่ในนั้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผู้จัดการรู้หรือไม่ แต่ผมไม่ได้คิดก่อนส่งข้อความนั้นเลย”

 “ในท้ายที่สุดผมกลับมา และจบลงด้วยการทำประตูในนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งนั่นเป็นเหมือนสัญลักษณ์ มันอาจจะเป็นโชคชะตาจริงๆ”