นาบิล เอล ซาร์ รู้สึกภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่เขาดูลิเวอร์พูลเป็นแชมป์โลกสมัยแรก ดาวเตะที่ตอนนี้เล่นให้อัล อาลี เอสซี ในกาตาร์ตอนนี้ได้โอกาสให้ลูกๆ ทั้ง 3 คนเห็นถึงความยิ่งใหญ่ของสโมสรที่พ่อของเขาเคยเป็นตัวแทน

“ผมได้ตั๋วหลายใบให้ไปดูเกม ผมพาลูกๆ ไปด้วย เพราะผมพูดเกี่ยวกับลิเวอร์พูลตลอดเวลา” เขากล่าวกับ Liverpoolfc.com “ผมสามารถบอกลูกๆ ของผม ‘ลองดูพ่อเคยเล่นให้กับใคร ดูแฟนๆ เหล่านี้ พวกเขามีแฟนบอลอยู่ทั่วโลก’ “

“สำหรับผมนี่คือทีมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และแฟนๆ ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ผมภาคภูมิใจมาก”

มันเป็นความรู้สึกที่เอล ซาร์เก็บเอาไว้นับตั้งแต่ยังเป็นนักเตะอายุน้อยที่ย้ายจากแซงต์ เอเตียน มาอยู่กับหงส์แดงในปี 2006 เขาก้าวต่อไปจนได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่ของสโมสรที่เขาเชียร์ตั้งแต่เด็ก 32 เกมตลอด 5 ปี ซึ่งทุกวินาทีถือเป็นเกียรติอย่างมาก

“ผมจดจำตอนที่กำลังเดินลงไปลงเล่นเกมต่างๆ ให้ทีมสำรอง และตลอดทางผมแค่มองดูโลโก้ และบอลตัวเองว่า ‘นี่ไม่ใช่เรื่องจริง ผมกำลังลงเล่นให้ทีมชุดนี้ ดูสิผมใส่ชุดวอร์ม โลโก้’ “นักเตะวัย 33 ปีจดจำได้

“มีเรื่องบางอย่างแบบนี้ที่คุณยังคงจำได้ไปอีก 10 ปี หรือแม้แต่หลังจากนั้น พูดตามตรงผมมีช่วงเวลาที่ดี ยอดเยี่ยมมากที่นั่น”

“ผมยังจำได้ในตอนนี้ เพราะว่าผมไม่คิดว่าผมเคยพูดมันมาจนถึงตอนนี้ ตอนที่ผมได้รับโทรศัพท์จากลิเวอร์พูล ผมกำลังจะเซ็นสัญญากับโรม่า ผมอยู่ในอิตาลีเพื่อเซ็นสัญญากับโรม่า 5 ปี”

“นาทีที่ผมได้รับข้อเสนอจากลิเวอร์พูล ผมแค่อยากจะไปฝรั่งเศสเพื่อทำให้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วบินไปลิเวอร์พูล ผมแค่บอกกับเอเย่นต์ของผมที่ต้องการไปที่ลิเวอร์พูล”

“พวกเขาต้องการผม และต้องการส่งข้อเสนอให้ผมผ่านแฟ็กซ์ ผมบอกแม่ให้รับแฟ็กซ์ และทันทีที่เธอได้แฟ็กซ์ ผมรีบไป เอเย่นต์ของผมไม่พอใจ เพราะว่าเขาไม่ได้มีส่วนกับการเจรจานี้!”

ไฮไลต์ในอาชีพของเอล ชาร์เป็นตอนที่เขาเป็นตัวจริงครั้งแรกให้กับสโมสร เขาลงเป็น 11 ตัวจริงในลีก คัพ กับคาร์ดิฟฟ์ ซิตี้ ในเดือนตุลาคม 2007 ซึ่งเจ้าของเสื้อเบอร์ 42 ทำประตูแรกจากลูกยิงไกลต่อหน้าเดอะ ค็อป

“มันเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ดีที่สุดในอาชีพของผม” เขายืนยัน “สำหรับผม ผมแค่ต้องหลับตาลง และจดจำประตูนี้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ”

“เช่นกันกับแอสซิสต์จากสตีเวน เจอร์ราร์ด คุณจะเรียกร้องอะไรมากกว่านี้ได้อีก?”

เป้าหมายถัดไปคือการได้เวลาในสนามมากขึ้น และในฤดูกาลถัดมา 2008-09 ที่เอล ซาร์ได้ลงเล่น 19 เกมในทุกรายการ

ความผิดหวังที่พลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกในปีนั้นยังคงเจ็บปวดมาจนถึงทุกวันนี้ “นี่อาจจะเป็นความผิดหวังที่ใหญ่ที่สุดในอาชีพของผม”

เมื่อย้อนถึงช่วงเวลาดังกล่าว เอล ซาร์ ลงเล่นในทีมของราฟาเอล เบนิเตซ ที่ประกอบด้วยนักเตะอย่างเจอร์ราร์ด, เฟร์นานโด ตอร์เรส, ชาบี อลอนโซ่, ฮาเวียร์ มาสเคราโน่, เจมี คาร์ราเกอร์ และเปเป้ เรน่า ที่ยังเป็นทำให้เขาเสียใจอะไรบางอย่าง

เขายอมรับว่า “ผมหมายถึง ผมสบายดีกับคนเหล่านี้ แต่ผมอาจจะเคารพพวกเขามากเกินไป”

“ในฐานะคนที่ถ่อมตัวเสมอ ผมให้ความเคารพอย่างมากกับผู้เล่นประเภทนี้กับตัวคุณ ผมไม่ได้บอกว่าตัวเองไม่คู่ควรกับมัน แต่คุณอยู่ที่นั่นเสมอ และบอกตัวเองว่า ‘คุณต้องพยายามให้มากขึ้นเพื่อไปให้ถึงระดับนั้น’ ”

“ผมฝึกซ้อมอย่างหนักมากในทุกเซสซั่น แต่คุณอยู่ที่นั่นตลอดเวลา และรู้ว่ามันยากที่จะดีกว่าพวกเขา แต่คุณต้องพยายามตลอดเวลา”

สัญญายืมตัวระยะยาวกับพีเอโอเคในกรีซ ตามด้วยการย้ายออกของเอล ซาร์ในปี 2011 ที่เขาย้ายไปสเปนเพื่อหาโอกาสลงเล่นมากขึ้นกับเลบานเต้, ลาส พัลมาส และเลกาเนสหลังจากนั้น

"ตอนที่ผมเซ็นสัญญากับลิเวอร์พูล ทุกๆ คนในโมร็อกโกเชียร์ลิเวอร์พูล และตอนนี้คุณสามารถเห็นมันในที่เอเชียที่นี่ ในกาตาร์”เอล ซาร์กล่าว “โม ซาลาห์เช่นกัน เพราะว่าเขาเป็นนักเตะอาหรับ ดังนั้นพวกเขาติดตามเขา เพราะว่าอียิปต์ติดกับกาตาร์”

 “พวกเขาให้กำลังใจทุกคน เพราะว่าพวกเขา (รู้สึก) พิเศษกับโม ซาลาห์ สำหรับผมเองเช่นกัน เพราะว่าเขาเป็นคนอาหรับ เขาเป็นตัวอย่างที่ดี ภาพที่เขามอบให้กับทุกคน มันเป็นเรื่องที่พิเศษ และเรายกเขาเป็นตัวอย่างของคนที่ถ่อมเนื้อถ่อมตัว ทำงานหนัก และบรรลุความฝันของเขา”

“แต่มีนักเตะมากมายในทีมลิเวอร์พูลชุดนี้ที่แสดงคาแรกเตอร์นี้ให้ทั้งโลกเห็น”

เอล ซาร์ ทิ้งท้ายว่า “ลูกๆ ของผมเป็นแฟนตัวยงของลิเวอร์พูล ผมมักจะเล่าให้พวกเขาฟังถึงสิ่งที่เกิดขึ้น และตอนนี้พวกเขาเป็นแฟนที่คลั่งไคล้ และพวกเขาบอกผมเสมอว่า ‘เมื่อไหร่พ่อจะพาเราไปที่ไหน เมื่อไหร่เราจะไปเจอกับนักเตะคนนั้นคนนี้?’ “

“พวกเขาคงจะต้องอดทนนิดหน่อย เพราะว่าผมยังคงเล่นฟุตบอล และมันเป็นเรื่องยากสำหรับผมที่จะเดินทาง เมื่อผมเลิกเล่น ผมสัญญาว่าผมจะพาพวกเขาไปที่แอนฟิลด์”

“ผมยังคงมีบ้าน (ในลิเวอร์พูล) และแค่อยากจะยังมีบางอย่างที่เชื่อมโยงผมกับเมือง กับสโมสร เพราะว่าผมใช้เวลา 2-3 ปีที่นั่น ไม่ใช่ทุกๆ วันที่ง่าย เพราะว่าผมอาศัยอยู่เพียงลำพัง เพราะว่าผมเรียนรู้หลายอย่าง และกลายเป็นผู้ใหญ่ที่นั่น”

“แค่ได้คุยกับคุณในตอนนี้ก็ทำให้ผมมีอารมณ์ร่วมมากมาย”