ฟีเจอร์ล่าสุดจาก Liverpoolfc.com ในการขุดบทความจากปี 2005 ที่อธิบายถึงเรื่องราวของนักเตะหงส์แดงคนเดียวที่มีสองนามสกุล

เราเคยได้พูดคุยสแตน พัลค์ ที่จากไปอย่างน่าเศร้า 4 ปีจากการให้สัมภาษณ์ในครั้งนี้ ที่ให้ข้อสรุปของความสับสน และสะท้อนอาชีพที่น่าสนใจกับสโมสร

อ่านเรื่องราวฉบับย่อกันด้านล่าง...

ระหว่างอาชีพ 8 ปีที่ยิ่งใหญ่ในแอนฟิลด์ เขาน่าจะเป็นหนึ่งในนักเตะที่โด่งดังกับการคว้าแชมป์ลีก และการทำประตูชัยเหนือเอฟเวอร์ตันในดาร์บี แมตช์ แต่ทว่าเชื่อของสแตน พัลด์ตกหล่นไปในบันทึกของสโมสร ทั้งที่เขาลงเล่น 13 เกมรวดในทีมหงส์แดงตั้งแต่ประเดิมสนามในระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ 1947 ถึงมีนาคม 1948

ความสับสนใจการสะกดนามสกุลของเขาผิด ทำให้สถิติส่วนใหญ่ถูกบันทึกเป็น Polk ไม่ใช่ Palk ที่ถูกต้อง

“ทุกอย่างมันมาจากสูติบัตรของผม ตอนที่ผมเซ็นสัญญากับหงส์แดงด้วยเหตุผลบางประการ ผมมีสูติบัตรสองใบ ฉบับหนึ่งเขียนเป็น Palk และอีกฉบับเขียนเป็น Polk” เขากล่าวกับ Liverpoolfc.com

“ในวันที่ผมเซ็นสัญญา ผมสร้างมันขึ้นมา และยื่นอันที่ผิดให้กับพวกเขา ชื่อ Palk เป็นภาษาคอร์นวอลล์ และจริงๆ แล้วมันออกเสียงตัว ‘O’ ออกมาอย่างชัดเจน ดังนั้นผมเข้าใจได้ว่าความสับสนชั้นมาจากไหน มันไม่ได้สร้างปัญหาให้กับผม หรือครอบครัวแต่อย่างใด”

พัลค์ยอมรับเองว่าไม่ได้ใช้นามสกุลที่ถูกต้องตลอดอาชีพของเขา และแฟนบอลส่วนใหญ่ที่อ่านบทความนี้อาจจะถามว่า ‘สแตนคือใคร?’ ซึ่งเขาคือคนที่เกิด และโตมาในลิเวอร์พูล ก่อนเดินหน้าถึงความฝันในการลงเล่นให้หงส์แดง โดยย้ายมาจากเซาท์ ลิเวอร์พูลในปี 1940 ในตำแหน่งกองกลางด้านซ้ายภายใต้การคุมทีมของจอร์จ เคย์

“หนึ่งในเพื่อนร่วมทีมของผมที่เซาท์ (ลิเวอร์พูล) ทำงานให้กับมร.มาร์ตินเดล หนึ่งในผู้อำนวยการของลิเวอร์พูล และเขาพูดคุยกับผมนิดหน่อย”เขาเล่า

“วันหนึ่งที่ผมกลังทำงานในโรงงานในเวลานั้น และจอร์จ เคย์ ตามตัวมา เขาแนะนำตัวเอง และเชิญผมไปซ้อมกับลิเวอร์พูล ในที่สุดผมได้เซ็นสัญญา และค่าจ้าสัปดาห์แรกของผมคือ 1.50 ปอนด์ นั่นในช่วงสงคราม ถ้าเป็นช่วงสงบมันน่าจะขึ้นสัก 2 ปอนด์!”

พัลค์ประเดิมสนามในเดือนพฤษภาคม 1940 ร่วมกับนักเตะชื่อดังแห่งแอนฟิลด์อย่างบ็อบ เพสลีย์ และบิลลี่ ลิดเดลล์ โดยเบอร์รี นอยเวนฮุยส์ทำแฮตทริกชนะสต็อคพอร์ต 4-3 ต่อหน้าผู้ชมหกพันคน เขาทำประตูแรกให้ลิเวอร์พูลปีต่อมาที่ชนะบิวรี่ 2-0 รวมแล้วพัลค์ทำ 14 ประตูจาก 62 เกมในช่วงสงคราม แต่พลาดแชมป์ฟุตบอล ล ลีด นอร์ทในฤดูกาล 1942-43

ในเดือนเมษายน 1944 เขามีความสุขอย่างที่สุดกับการมีส่วนสำคัญในชัยชนะเหนือท๊อฟฟี่สีน้ำเงินในเมอร์ซีย์ไซด์ ดาร์บี

“ผมทำประตูในเกมนั้น และมันน่าจะเป็นความทรงจำที่ดีที่สุดของผม”พัลค์รำลึก “นั่นเป็นเกมลิเวอร์พูล ซีเนียร์ คัพ และจอร์จ เบอร์เน็ตต์ที่จบโรงเรียนเดียวกับผมตอนเด็กๆ เป็นโกลของพวกเขา ผมจำว่ามันข้ามตัวของเขาเข้าไป เราชนะ 4-2 และมีผู้ชมราวๆ 25,000 -30,000 คน

มันเกิดขึ้นไม่นานก่อนเขาจะถูกกองทัพเรือเรียกตัว และออกเรือไปมอมบาร่าสองปี ก่อนขึ้นฝั่งกลับมาในปี 1946 ที่เขารายงานตัวที่แอนฟิลด์ทันที และช่วยทีมลุ้นแชมป์หลังสงคราม โดย 6 ปีหลังจากเซ็นสัญญากับหงส์แดง

เขาประเดิมเกมฟุตบอล ลีก นัดแรกในเกมชนะกริมสบี 5-0 ที่แอนฟิลด์ และลงเล่นอีก 5 นัดในทีมของเคย์ที่หักปากการเซียนเอาชนะวูล์ฟส์, แมนฯ ยูไนเต็ด และสโต๊ก ซิตี้คว้าแชมป์

“ทีมชุดนั้นดีมาก แต่มันก็ไปจบลงไปในฤดูกาลนั้น ผมลงเล่นไม่กี่เกมก่อนจะได้รับบาดเจ็บ แต่พวกเขาก็เดินหน้าต่อไปจนคว้าแชมป์ลีกให้กับเรา มันเป็นความสำเร็จอย่างแท้จริง เพราะว่ามันเป็นดิวิชั่นที่แข็งแกร่งมากในเวลานั้น”

“ผมจำไม่ได้ว่ามีการเฉลิมฉลองอะไรเป็นพิเศษ และผมจำไมได้ว่าเราได้โบนัสพิเศษ หรืออะไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเราจะได้ไก่งวงในวันคริสต์มาสก็ตาม!”

ทีมชุดแชมป์ลีกฤดูกาล 1946-47 ยังได้รับการยกย่องจากแฟนบอลรุ่นเก่าว่าเป็นหนึ่งในทีมลิเวอร์พูลที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ และพัลค์ถือว่าเป็นเกียรติอย่างที่ยิ่งที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของมัน

ลิเวอร์พูลชุดแชมป์ลีกในฤดูกาล 1946-47

 “ผมโชคดีมากที่ได้ลงเล่นร่วมกับนักเตะชั้นยอดอย่างอัลเบิร์ต สตั๊บบินส์ และบิลลี่ ลิดเดลล์ บิลลี่น่าจะเป็นดาวดังในตอนนั้น เขาเป็นคนที่น่ารัก แข็งแกร่ง และตัววิ่งที่ดี เมื่อเขาได้บอลเขาจะพาขึ้นไป เขายังเล่นได้ทั้งทางฝั่งขวา และซ้าย”

“บ็อบ เพสลีย์ เป็นอีกคน ผมเคยเป็นกองกลางด้านในฝั่งซ้าย และเพสลีย์ยืนอยู่ด้านหลังของผม นอกจากนั้นผมจะบอกว่านักเตะที่ดีที่สุดคือฟิล เทยเลอร์ เขาน่าจะโยนบอลไม่ได้ครึ่งของฟิล”

เคย์ ผู้จัดการทีม เป็นอีกคนที่พัลค์อยากจะพูดถึง และเขากล่าวเสริมว่า “จอร์จ เคย์ ผู้จัดการทีมก็เป็นคนที่เลวเลย คุณไม่เคยได้ยินเขาก่นด่า หรือสบถ เขาเป็นผู้จัดการทีมที่คุณสามารถพูดคุยด้วย และผมเข้ากับเขาได้เป็นอย่างดี”

ชีวิตในทีมลิเวอร์พูลย้อนกลับไปในทศวรรษ 1940 แน่นอนว่ามีความแตกต่างอย่างมากกับวันนี้ และพัลค์ยังคงจดจำได้อย่างชัดเจนว่าหงส์แดงเตรียมตัวสำหรับเกมต่างๆ อย่างไรในเวลานั้น

“เวลาส่วนใหญ่ในการฝึกซ้อมของเราทำที่สนามแอนฟิลด์ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมหญ้าถึงไม่เหลือเคยเหลือเลยตั้งแต่คริสต์มาส”เขากล่าว “ระหว่างช่วงฤดูหนาวเมื่อสนามปกคลุมไปด้วยหิมะ หรือฝนที่ตกหนัก เราคุ้นเคยกันดีกับการวิ่งขึ้นวิ่งลงบนอัฒจันทร์เดอะ ค็อป”

“อัลเบิร์ต เชลลีย์ และจิมมี่ เซ็ดดอนเป็นครูฝึกในเวลานั้น เราฝึกซ้อมทุกๆ เช้าระหว่าง 10-12 โมงเช้า ถ้าคุณไม่ต้องลงเล่นในวันอาทิตย์ ในกรณีนั้นคุณจะได้พักในวันจันทร์ และจะไม่มีการอบอุ่นร่างกายในสนามก่อนเกมอย่างที่พวกเขาทำในวันนี้ เราแค่วิ่งลงไปคิกออฟ และลุยเลย!”

“พูดถึงแอนฟิลด์มันเปลี่ยนไปมากตั้งแต่สมัยที่ผมเป็นนักเตะ ตอนที่ยังมีตั๋วยืน และผู้คนประมาณ 60,000 คนเศษ บรรยากาศดีมาก และเป็นเกียรติมากที่ได้ลงเล่นต่อหน้าแฟนบอลที่มีความรู้เช่นนี้”

หลังจากนั้นลิเวอร์พูลไม่สามารถเรียกฟอร์มแชมป์กลับมาได้ และเขาก็ได้ลงเล่นเกมสุดท้ายจาก 13 เกมแข่งขันของเขาในเดือนมีนาคม 1948 โดยซัมเมอร์นั้นเขาเป็นสมาชิกของทีมชุดทัวร์อเมริกา และแคนาดาเป็นครั้งที่สองในช่วงเกือบสิ้นสุดอาชีพกับหงส์แดง

“ผมเพิ่งกลับมาจากอเมริกา และผมก็ช็อกมากกับชีวิตของผม ทอม บูช อดีตเซนเตอร์ฮาล์ฟซึ่งตอนนั้นทำงานเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานเคาะประตู และบอกว่าผมต้องลงไปที่สนาม ผมตรงไป และมีกอร์ดอน ฮ็อดจ์สันตำนานกองหน้าตัวเป้าของลิเวอร์พูลที่คุมทีมพอร์ตเวลยืนอยู่ตรงนั้น เขาอยากจะเซ็นสัญญากับมิค ฮัลลิแกน และตัวผมเองทั้งสองคน”

“ผมไม่แน่ใจกับสิ่งที่จะทำในตอนแรก เพราะว่าผมอยากจะอยู่กับลิเวอร์พูล แต่โอกาสจะลงเล่นทีมชุดใหญ่ดึงดูดใจเป็นอย่างยิ่ง และท้ายที่สุดผมตัดสินใจที่จะไป”

พัลก้าวต่อไปเป็นกัปตันทีมพอร์ตเวล และใช้เวลา 4 ปีในทีมเดอะ พ็อตเตอร์รีส์ ก่อนจะพเนจรต่อไปในทีมนอกลีก ที่เขาเล่นให้กับวอร์เชสเตอร์ ซิตี้, นอร์ทวิช วิกตอเรีย, เพสก็คอ เคเบิลส์, พเวลลี่, ฟลินต์ ทาวน์ ยูไนเต็ด, ออสเวสทรี ทาวน์ และสุดท้ายกับแม็คฮัลล์