ความรู้สึกเคลิบเคลิ้มตอนชูถ้วยยูโรเปียน คัพ ในวันนี้เมื่อ 15 ปีก่อน คือความรู้สึกที่ราฟาเอล เบนิเตซ จะไม่มีวันลืมเลือน

ในวันที่ 25 พ.ค. 2005 จะกลายเป็นตำนานของสโมสรลิเวอร์พูลไปตลอดกาล เนื่องจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อตาเติร์ก สเตเดียมที่อิสตันบูล ที่ตอนนี้ทุกคนรู้กันดีว่าหงส์แดงตามหลังทีมมากประสบการณ์อย่างเอซี มิลาน 0-3 หลังหมดครึ่งแรกแต่กลับมาตีเสมอในช่วงเวลา 6 นาที และสู้ไปจนได้ชูถ้วยหลังเกมยาวไปจนถึงการดวลจุดโทษ

ในโอกาสรำลึกความทรงจำ เราได้ถอดบทสัมภาษณ์ของเบนิเตซกับ UEFA ในการย้อนความทรงจำของนายใหญ่หงส์แดงเมื่อ 15 ปีก่อน...

พูดถึงความคิดของเขาก่อนเกม และเกมที่ออกมา...

มันเกิดขึ้นกับผมเสมอ และผมหวังว่ามันจะเกิดขึ้นอย่างนั้นต่อไป และนั่นคือเมื่อคุณเข้าชิงชนะเลิศ คุณต้องเชื่อมั่น เพราะว่ามีงานมากมายให้ทำ การเตรียมพร้อมด้านเทคนิคของร่างกายอย่างหนักช่วยให้ผมพร้อมในการเตรียมตัวสำหรับเกมต่างๆ

มีเกมหลักๆ อย่างเกมกับยูเวนตุส ที่ (ชาบี) อลอนโซ่คัมแบ็กกลับมาหลังจากเจ็บข้อเท้าไปหลายเดือน มันเป็นครั้งแรกที่เราเล่น 5-3-1-1 ที่คุม (ซลาตัน) อิบราฮิโมวิช, (อเลสซานโตร) เดล ปิเอโร่, (พาเวล) เน็ดเวด

นั่นเป็นเกมที่สำคัญมาก เพราะว่าพวกเขาเป็นยอดทีม หลังจากนั้นชัดเจนกับเชลซี...เกมตัดสินเหล่านี้ช่วยให้เข้าถึงนัดชิงชนะเลิศด้วยความมั่นใจ

เราไม่ได้เป็นทีมเต็ง เพราะว่าพวกเขามีนักเตะระดับท็อป แต่เราไปที่นั่นด้วยความมั่นใจมาก และเราเชื่อมั่น แม้ว่าความจริงแล้วทุกอย่างออกมาไม่สมบูรณ์แบบเลยตั้งแต่เริ่มต้นเกม เพราะว่าเราผิดพลาดเสียฟาวล์ และหลังจากนั้นพวกเขาขึ้นนำ 3-0 ผมพยายามจะถ่ายทอดความมั่นใจลงไปในช่วงพักครึ่ง

ผมพยายามคงสปิริตการต่อสู้ว้าภายในทีม และผมคิดว่าถ้ามีโชคเราน่าจะกลายเป็นทีมที่ดีขึ้น เราดีขึ้นเมื่อเราปรับมาใช้หลังสาม ซึ่งทำให้เราคุมเกมในแดนกลางมากขึ้น

และหลังจากนั้นเมื่อมันไปถึงการดวลจุดโทษ นั่นเป็นผลลัพธ์จากโชค และการทำงานหนัก เพราะว่าตัวยิงจุดโทษที่มิลานมี 5 คน เรารู้จักพวกเขา 4 คนดี และจุดที่พวกเขามักจะยิง

เรารวบรวมข้อมูล และสถิติจากพวกเขามาบ้าง ดังนั้นมันเป็นไปตามกระบวนการตามธรรมชาติที่มีการพัฒนามานาน อย่างที่เราพูดกันก่อนหน้านี้ มันเป็นผลจากการทำงาน

ซอฟต์แวร์ที่เราเคยใช้ กับทุกๆ สถานีทีวีที่มีในทุกวันนี้ ซึ่งเราใช้ในการศึกษาการยิงจุดโทษ มันช่วยเราได้ในนัดชิงชนะเลิศ ดังนั้นความมั่นใจที่เรามีในตอนเริ่มแรก บวกกับการทำงานหนักที่เราทุ่มเทลงไป ทำให้เราสามารถชนะในนัดชิงชนะเลิศ ซึ่งผมคิดว่ามันกลายเป็นเกมนัดชิงชนะเลิศที่น่าตื่นเต้นที่สุดในประวัติศาสตร์ของแชมเปียนส์ลีก

มันเสี่ยงหรือไม่ที่ปรับสตีเวน เจอร์ราร์ด ไปยืนแบ็กขวาเพื่อหยุดยั้งอันตรายจากแซร์จินโญ่ตัวสำรองของมิลาน ที่ลงมาท้ายเกมในครึ่งเวลาหลังของเวลาปกติ...

ไม่ คุณต้องรู้จักนักเตะของคุณ เขาเป็นหนึ่งในคนที่มีพลังงานเยอะมาก ที่นั่นมีนักเตะที่ได้รับบาดเจ็บมาบ้าง และยังไม่พร้อมกับความเร็วเต็มที่ในเกมแข่งขัน เพราะว่าเขาไม่ได้ลงเล่น และมีนักเตะอีกคนที่ทำงานได้ดีจริงๆ และสามารถช่วยเหลือเกมรุก และนั่นคือสตีเวน เจอร์ราร์ด

พวกเขาปรับแท็กติกที่มีประสิทธิภาพท้ายเกม ผมมักจะพูดเรื่องนี้ว่า (คาร์โล) อันเชล็อตติทำถูก เพราะว่าแซร์จินโญ่เป็นตัวสำรองที่ดีที่ลงเล่น เขาเป็นตัวขยายเกมรุกด้านกว้างของพวกเขา เราตอบสนองได้อย่างถูกต้องด้วยการใส่สตีเวนเจอร์ราร์ดลงไปตรงนั้น เพราะว่าเขาหยุดเขาได้ และยังเล่นเกมรุกได้ด้วย

แต่ผมมั่นใจมากในจุดนี้ ในการทำงานของเรา และในตัวเจอร์ซีย์ ดูเด็ค และในตัว(โฆเซ่ มานูเอล) โอโชโตเรน่าที่เป็นโค้ชผู้รักษาระตู เพราะว่าเราเลือกคนยิงจุดโทษไว้แล้ว อะไรก็เกิดขึ้นได้ แต่ผมมั่นใจมาก เพราะว่างานทั้งหมดที่ทำหลังฉากที่ผู้คนมากมายไม่รู้

ถ้วยรางวัลหนักหรือไม่...

คุณไม่ได้สังเกตมันด้วยซ้ำ เมื่อคุณได้แชมป์ คุณจะไม่สังเกตมันเลย ต่อให้มันหนัก 100 กิโล คุณก็จะยกมันขึ้นอยู่ดี

นั่นคือส่วนที่ง่ายที่สุด เมื่อคุณ เมื่อคุณไปถึงมันรู้สึกเคลิบเคลิ้ม... มีทั้งความพึงพอใจ และความสุข คุณเพลิดเพลินกับช่วงเวลานั้น และมองทุกอย่างรอบตัวคุณ แฟนบอลในชุดสีแดงที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความคลั่งไคล้ หลังผ่านไปนานหลายปี มันยังคงเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ที่ยังคงอยู่ในความทรงจำของคุณไปตลอดกาล