ทุกคนจดจำรายละเอียดที่ยากจะเชื่อในสนามที่อิสตันบูลได้หมด

ลิเวอร์พูลตามหลังเอซี มิลาน 0-3 ระหว่างพักครึ่ง ก่อนยิงได้ 3 ประตูในช่วงเวลา 6 นาทีของครึ่งหลัง และชนะการดวลจุดโทษคว้าแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีกในปี 2005 แต่อะไรเกิดขึ้นในช่วงพักครึ่ง? และการเตรียมตัวก่อนถูกถล่มในครึ่งแรกอย่างไร?

Liverpoolfc.com ได้จับฌิมี่ ตราโอเร่ มาพูดคุยถึงสิ่งทีเกิดขึ้นก่อน ระหว่าง และหลังเกมคัมแบ็กแห่งความทรงจำในประวัติศาสตร์นัดชิงชนะเลิศ ยูโรเปียน คัพ...

การเตรียมตัวในขั้นตอนสุดท้ายที่เมลวู้ด

ลิเวอร์พูลวางทีมไว้อย่างแข็งแกร่งสำหรับนัดชิงชนะเลิศ ที่ราฟาเอล เบนิเตซ ใส่รายละเอียดในด้านแท็กติกของเขาที่เมลวู้ด

“นั่นคือตอนที่เราเริ่มเล่นแบบ 11 ต่อ 11” ตราโอเร่อธิบาย “เราแก้ไขรูปแบบการยืนในแท็กติก พูดคุยเกี่ยวกับเกม เกี่ยวกับระบบของเอซี มิลาน”

“มันเป็นระบบประเภทที่เราไม่เคยเผชิญหน้ามาก่อน คุณต้องให้เครดิตกับอันเชล็อตติ และวิธีที่เขาจัดทีมของเขา การเผชิญหน้ากับศูนย์หน้าสองคน และเบอร์ 10 หนึ่งคนที่ไม่ปกติสำหรับเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพรีเมียร์ลีก มันคือเวลาที่ต้องปรับตัว”

“คุณสามารถเห็นได้ใน 45 นาทีแรก มันเป็นเรื่องยากสำหรับเรา มันเป็นฝันร้าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผม”

 “ผมคิดว่า สองหรือสามวันก่อนเกม เรารู้ว่าตัวจริงน่าจะออกมาอย่างไร”

ค่ำคืนก่อนนัดชิงชนะเลิศ

ตราโอเร่ และเพื่อนร่วมทีมของเขาพยายามจะทำกิจวัตรให้เหมือนเดิม แม้ว่าจะมีโอกาสสำคัญรอพวกเขาอยู่ก็ตาม

เขาให้รายละเอียดว่า “ผมพยายามจะรับประทานอาหารเย็นให้ดี พยายามจะดูหนัง หรือซีรีส์ย้อนไปในตอนนั้นผ่านดีวีดี และคิดมากเกี่ยวกับเกม แต่คิดถึงเรื่องที่แตกต่างออกไป”

“ถ้าคุณคิดเกี่ยวกับเกมมากเกินไปคุณจะไม่สดชื่นในวันถัดมา ไม่คิดถึงเกม และรอจนช่วงเช้าก่อนเกมที่คุณต้องเริ่มเสริมสร้างความมั่นใจ และคิดมากขึ้นเรื่อยๆ เกี่ยวกับเกม และคู่แข่งที่คุณเผชิญหน้า

“นั่นคือกิจวัตรของผม”

วันแข่งขัน

นักเตะบางคนเตรียมตัวสำหรับเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพของพวกเขาอย่างไร? อย่างเช่นโยนโบว์ลิ่งให้ล้มทั้งสิบพิน

“เราเหมือนกับถูกห่ออยู่ในพลาสติกและอยู่ในโรงแรมสำหรับการเตรียมตัวเพื่อเกม” ตราโอเร่กล่าว “โดยปกติเรามักจะออกไปเดินเล่นในเมืองที่เราอยู่เมื่อเราไปเล่นในยุโรป นั่นก็เหมือนกัน”

“เราออกไปเดินเล่น และคุณจะเห็นว่าทั้งเมืองเต็มไปด้วยแฟนบอลลิเวอร์พูลมากมาย คุณต้องให้เครดิตกับราฟา เขาพยายามจะทำลายความกดดันนี้”

“ตอนเช้าของวันชิงชนะเลิศ เราออกไป และเล่นโบว์ลิ่ง มันสนุกมาก และช่วยให้เราผ่อนคลาย ไม่คิดเกี่ยวกับเกม และกดดันตัวเองมาก”

“สำหรับพวกเราส่วนใหญ่ มันเป็นนัดชิงแชมเปียนส์ลีกครั้งแรก และผมรู้ว่ามันสำคัญต่อสโมสร และสำหรับแฟนบอล เรารู้ว่าถ้าเราได้แชมป์มันจะเป็นสมัยที่ 5 และเราอยากจะเก็บถ้วยไว้ ดังนั้นมันมีความกดดันเป็นพิเศษนิดหน่อยสำหรับเรา”

การประชุมก่อนเกม

ไม่มีการกล่าวสุนทรพจน์ใดๆ จากเบนิเตซ  นอกจากการย้อนระลึกถึงสิ่งที่ลิเวอร์พูลทำจนมาถึงจุดนั้น

“(ข้อความคือ) ผ่อนคลายให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และโชว์ฟอร์มให้ดีที่สุดเท่าที่เราจะทำได้”ตราโอเร่กล่าว “มันเป็นประมาณสิ่งที่เราต้องทำเมื่อมาถึงจุดนี้ มันเป็นเส้นทางที่ยาวไกลมากๆ กว่าจะมาถึงนัดชิงชนะเลิศ”

“เราเอาชนะทีมใหญ่ๆ หลายทีม และเราทำได้ดีมาก วิธีการเล่นของเรา ผมคิดว่ามันยอดเยี่ยม และเหมาะกับทีมของเราในเวลานั้น”

“เรามีเกมรับที่เหนียวแน่นมาก และไม่เสียประตูมากนักในแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาลนั้น นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมมันเป็นหนึ่งในจุดที่แข็งแกร่งที่สุดของเราในฐานะทีม แต่โชคร้ายมากที่คุณไม่เห็นมันใน 45 นาทีแรก แต่มันก็เกิดขึ้น”

“นัดชิงชนะเลิศทุกครั้งมันไม่ได้เกี่ยวกับวิธีการเล่นของคุณ ในท้ายที่สุด คุณต้องการที่จะชนะ มันอาจจะเป็นแบบไม่สวยงาม แต่ในท้ายที่สุด คนจะจำได้แค่ผู้ชนะ”

พักครึ่งเวลา

‘โกลาหล’ คือคำที่ตราโอเร่บรรยายถึงฉากในห้องแต่งตัวของลิเวอร์พูลหลังจากครึ่งเวลาแรก

การถูกเล่นงานทุกจุดทำให้เบนิเตซแจ้งข่าวกับตราโอเร่ ว่าจะให้ ดิดี้ ฮามันน์ จะลงแทนเขา ‘ดิดี้ ไปอาบน้ำได้’

ชายชาวฝรั่งเศสเล่าต่อไปว่า “ผมเริ่มถอดเสื้อ และออกไป แต่ผมยังไม่ได้เริ่มอาบน้ำ ผมอยู่ในนั้นแบบผิดหวังมาก”

“แต่ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วมาก ผมไม่มีเวลาลงแชมพู หรืออะไรแบบนั้น ปาโก้ (อเยสตาราน) ผู้ช่วยโค้ชกลับมาหลังจากนั้น ตบไหล่ผม และเขาบอกผมว่า ‘ฌิมี่ นายกลับมา นายต้องลงเล่น’ “

สตีฟ ฟินแน่นไม่สามารถเล่นต่อไปได้จากการบาดเจ็บ ทำให้ตราโอเร่ต้องใส่รองเท้าอีกครั้ง และลงเล่นในครึ่งเวลาหลังในระบบใหม่

เขากล่าวต่อไปว่า “ราฟาเริ่มพูดเกี่ยวกับแท็กติกซึ่งเราจะวางแผน และเล่นหลังสาม ‘ฌิมี่นายเล่นฝั่งซ้าย ซามี่ตรงกลาง และคาร์ราด้านขวา’ “

“ซึ่งตอนนี้คุณต้องเรียกสมาธิกลับมา ซึ่งผมปรับ เรียกสมาธิ ใส่รองเท้ากลับมา ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น และต้องพร้อมลงเล่น”

“15 นาทีมันดูเหมือนสั้นมาก แต่มันดูเหมือนยาวนานมาก เพราะความสับสนทั้งหมด”

“ข้อความสุดท้ายที่ผมใส่กลับไปในหัวของผมคือ ‘เราต้องกลับไปลงเล่นครึ่งหลัง และจบเกมโดยเชิดหน้าขึ้น และชนะในครึ่งเวลาหลัง และไม่ทำให้แฟนบอลของเราผิดหวัง”

“แต่ราฟาพูด 2-3 คำสุดท้ายแบบ ‘โอเค คุณไม่มีทางรู้ ถ้าเราทำประตูได้ใน 10 นาทีแรก เราอาจจะพลิกแกมได้’ “

“ในฐานะนักเตะ คุณต้องพูดว่า ‘ใช่เลย อะไรก็ได้’ แต่ตอนที่เราทำประตูแรก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นกัปตัน และผู้นำเรายิงได้ นั่นบอกคุณว่า ‘ใช่สิ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ’

การเตรียมตัวยิงจุดโทษ

หลังจากผ่านช่วงเวลาพิเศษทั้งหมด เบนิเตซเข้าหาลูกทีมทุกคนเพื่อประเมินความต้องการที่จะรับหน้าที่ยิงจุดโทษของพวกเขา

“เราเหนื่อยล้าหลังจากเกมที่บ้าคลั่งกับอารมณ์ที่แตกต่างออกไปตลอดทั้งเกม” ตราโอเร่รำลึก “แต่ต้องให้เครดิตกับราฟา มันเป็นแบบไม่ใช่เขาจัดรายชื่อว่าใครจะยิงจุดโทษ เขาเข้ามา และเขาถามทุกคน”

“นักเตะที่ก้าวไปรับหน้าที่ ผมยอมใจพวกเขามาก เพราะว่าฮามันน์, ซิสเซ่ คนที่เพิ่งลงมาอย่างซมิเซอร์ พวกเขาทึกคนก้าวออกมา และพูดว่า ‘ได้ ผมอยากจะยิง’ “

“ผมจำราฟาเข้ามา และถามผมว่า ‘ฌิมี่ นายอยากจะยิงไหม?’ ผมตอบว่า ‘ไม่ ไม่ ไม่ ผมขอรอก่อน’ “

การเฉลิมฉลอง

ความเหนื่อยล้าตามธรรมชาติของนัดชิงชนะเลิศ หมายถึงหัวใจในการเฉลิมฉลองของนักเตะไปอยู่ในห้องแต่งตัวของอตาเติร์ก สเตเดียม ก่อนที่จะมีขบวนพาเหรดแห่งความทรงจำต้อนรับกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น

“ห้องแต่งตัวเป็นแบบ ‘เราไม่อยากจะเชื่อ’ เราทำได้เรื่องที่บ้ามากๆ ดังนั้นที่นั่นจึงเต็มไปด้วยการเฉลิมฉลองมากมาย การดื่มกิน และกระโดดไปรอบๆ”ตราโอเร่ย้อนความทรงจำ “มันบ้ามากในสิ่งที่เราทำลงไป”

“สำหรับเรื่องที่เป็นสัญลักษณ์คือตอนที่เรากลับไปยังลิเวอร์พูล มันเป็นตอนที่เราตระหนักว่า ‘ว้าว เราทำเรื่องที่บ้ามากๆ’ “

“การได้เห็นผู้คนจำนวนมากบนท้องถนน ครั้งแรกที่ผมเห็นคนมากขนาดนี้บนท้องถนนคือตอนที่ผมเป็นเด็ก และฝรั่งเศสได้แชมป์โลกในปี 1998 แต่นั่นคือทีมชาติ มีแค่ฟุตบอลโลกที่ดึงผู้คนจำนวนมากออกมาบนท้องถนนได้ขนาดนั้น”

“แต่เมื่อเราทำได้กับลิเวอร์พูล และผมเห็นคนมากขนาดนั้น ผมเป็นแบบ ‘ใช่ เราทำเรื่องบ้าๆ ได้สำเร็จ เรื่องที่บ้าบอมา’ มันเป็นหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดของผมกับสโมสรลิเวอร์พูล”

อารมณ์ร่วมจากชัยชนะยังคงอยู่หลายสัปดาห์ต่อมา และยังคงอยู่จนถึงทุกวันนี้สำหรับตราโอเร่

“คุณคึกคักมาก เมื่อคุณชนะ คุณจะไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย”เขาสรุป “คุณเห็นชิงชนะเลิศอีกครั้ง คุณเห็นอารมณ์ ผู้คนพูดคุยกับคุณเรื่องเกี่ยวกับเกมนั้นมากมายหลายครั้ง มันคือความสุข”

“วันนี้เมื่อคนอื่นๆ พูดกับผมเกี่ยวกับฟุตบอล เรื่องเดียวที่พวกเขาพูดถึงคือแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ พวกเขาจะจดจำนัดชิงชนะเลิศนั้นไปตลอดกาล”