นัดชิงชนะเลิศบอลถ้วยกลายเป็นเหมือนย้อนดูภาพความทรงจำเก่าๆ นิดหน่อย

คุณอาจจะนึกภาพไม่ออกว่ามันผ่านไปนานแค่ไหนสำหรับแฟนบอลลิเวอร์พูลที่เคยผ่านวันที่ 25 พ.ค. 2005 วันชื่นคืนสุขที่ทุกคนอยากจะนึกถึงกับความสำเร็จเมื่อ 15 ปีก่อน มากกว่าการลาออกของเคนนี ดัลกลิชในปี 1991

อดีตนักเตะที่เป็นตัวแทนของลิเวอร์พูล และคู่แข่งของพวกเขาอย่างเอซี มิลาน ตอนนี้อยู่ในวัยสี่สิบปีเศษ ในส่วนของเปาโล มัลดินีที่ทำประตูแรกในเกมนั้นได้ก็ปาไปห้าสิบกว่า พวกเขากลายเป็นผู้จัดการทีม, ผู้อำนวยการกีฬา, นักวิจารณ์ หรือแม้แต่นักการเมือง

อีกหนึ่งความเปลี่ยนแปลงสำคัญคือถ้วยรางวัลจากมาดริดเมือปีที่แล้ว ทำให้อิสตันบูลไม่ใช่ความทรงจำเพียงลำพังกับความสำเร็จในศตวรรษที่ 21 ของสโมสร แต่มันยังไม่ลดทอนความสำเร็จที่อตาเติร์ก สเตเดียมในค่ำคืน

“การตระหนักว่า 100 ปี ผู้คนยังอยากรู้ว่าอะไรเกิดขึ้นในค่ำคืนที่น่าเหลือเชื่อนั้นมันโดยใจผมจริงๆ และผมแทบไม่อาจเขียนคำบรรยายได้” โทนี่ บาร์เร็ตต์เบล่า

“ผมต้องเขียนบทความ 1,000 คำให้กับลิเวอร์พูลเอ็คโค่ และมันควรจะง่าย แต่ผมได้แต่นั่งอยู่ในโรงแรมที่นั่นดูหน้าจอเปล่าๆ ประมาณหนึ่งชั่วโมงจนใกล้ถึงเส้นตายส่งงานที่ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมคิดว่าคนอื่นๆ อาจจะมองว่าผมมีปัญหา เพราะบางคนอาจจะไม่รู้ว่าผมดื่มไปนิดหน่อย และหลังจากดื่มผมเดินหน้าต่อไปได้ ผมยังไม่ได้อ่านบทความที่ตัวเองเขียน และผมสงสัยว่าคงจะเป็นอย่างนั้นไปตลอด”

งานเมื่อ 15 ปีก่อนของโทนี่ที่เป็นแฟนบอลหงส์แดงมาทั้งชีวิตอาจจะมองดูน่าอิจฉา เมื่อเขาจะได้พบปะพูดคุยกับแฟนบอลทั้งวัน และดื่มด่ำกับบรรยากาศในทักซิม สแควร์ในเมืองหลวงของตุรกี และขบวนรถแท็กซี่ที่ติดยาวกว่า 10 ไมล์จากอตาเติร์ก

“ทุกอย่างมารวมกัน สภาพอากาศดีมาก เบียร์ค่อนข้างถูก การต้อนรับที่ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เมืองก็ยอดเยี่ยม และกองเชียร์ของเรายินดีกับทุกอย่าง”อดีตผู้สื่อข่าวที่ตอนนี้รับหน้าที่หัวหน้าฝ่ายสโมสร และกองเชียร์สัมพันธ์กล่าวต่อไป

“มีคำถามที่เคยถูกถามในนิตยสาร Guardian Weekend ว่า 'ถ้าคุณสามารถมีชีวิตหนึ่งวันในชีวิตของคุณอีกครั้ง วันนั้นจะเป็นวันไหน?'  ผมคิดว่าแฟนลิเวอร์พูลคนใดที่โชคดีพอที่จะอยู่ในอิสตันบูลเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2005 จะเลือกวันนั้น แม้ว่าคนใกล้ตัวอาจจะคาหวังว่าเราจะพูดถึงวันแต่งงาน และวันที่ลูกของเราเกิด!”

ส่วนหนึ่งในค่ำคืนแห่งตำนานเกิดขึ้นใน 6 นาทีที่บ้าคลั่ง เมื่อลิเวอร์พูลคัมแบ็กตีเสมอ 3-3 หลังตกเป็นรอง และผ่านเส้นทางที่หนักกว่ามาตลอดทัวร์นาเมนต์ และบาร์เร็ตต์รู้สึกมั่นใจตอนไปที่อตาเติร์ก

“มิลานมีนักเตะที่ดีกว่า และดีกรีของพวกเขาชัดเจนว่าเหนือกว่าเรา แต่เราต่อยอดโมเมนตัมมาตั้งแต่เจอร์ราร์ดทำประตูในเกมกับโอลิมเปียกอส และความรู้สึกเติบโตขึ้นตลอดปีนั้นสำหรับเรา”เขากล่าว “เรามีกระดูกสันหลังอย่างเจมี คาร์ราเกอร์, ซามี ฮูเปีย, ชาบี อลอนโซ่ และเจอร์ราร์ดที่เป็นที่อิจฉาของทีมส่วนใหญ่ในยุโรปในช่วงเวลานั้น แลถ้าคุณไม่เชื่อมั่นกับทีมที่เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศถ้วยยุโรป คุณจะเชื่อในทีมไหนได้อีก?”

บาร์เร็ตต์ชี้ไปถึงความสงสัยในเรื่องโอกาสของลิเวอร์พูล แม้แต่ในพื้นที่สื่อที่กาเบรียลเล่ มาร์ค็อตติ ผู้สื่อข่าวอิตาลีที่ตอนนี้เป็นนักเขียนรุ่นใหญ่ของอีเอสพีเอ็น โดยในปี 2005 เขาเป็นผู้สื่อข่าวอิสระของคอร์ริเอเร่ เดลโล่ สปอร์ต “ผมคิดว่ามิลานจะผ่านไปได้ถ้าพูดตามตรง”

มิลานได้ลงเล่นรายนี้ในฐานะแชมป์จากอิตาลีครั้งแรกในรอบ 8 ปีในยุคของอันเชล็อตติ แต่ทัวร์นาเมนต์นี้พวกเขาหวังจะต่อยอดที่จะคว้าแชมป์สมัยที่ 6 ที่โอลด์แทร็ฟฟอร์ดในปี 2003

“ผมคิดว่าลิเวอร์พูลถูกมองว่าเป็นทีมที่เปลี่ยนผู้จัดการทีมบ่อยครั้งหลายปีก่อน และยังคงอยู่ในช่วงพัฒนาทีม”ผู้สื่อข่าวที่เกิดในมิลานกล่าว “ราฟากำลังสร้างทีม และถูกวิจารณ์หลายเรื่องจากเกมในประเทศ ในขณะที่มิลานคว้าแชมป์เซเรีย อา หนึ่งปีก่อนหน้านั้น และแชมเปียนส์ลีกในปีก่อนหน้านั้นด้วยการเอาชนะยูเว่ในการดวลจุดโทษในแมนเชสเตอร์ นั่นเป็นเกมที่น่าหวาดเสียว แต่มิลานสมควรชนะมัน”

“และพวกเขามีผู้จัดการทีมได้รับความเคารพ และรอบคอบมาก คุณไม่มีอะไรการันตี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอิตาลีที่เรามีแนวโน้มจะกังวลเกี่ยวกับโอกาสเหล่านี้อยู่เสมอ แต่ผมคิดว่าคนส่วนใหญ่มองว่ามิลานเป็นต่ออย่างชัดเจนในวันนั้น”

จาก 120 นาที และการดวลจุดโทษที่ตามมาที่ไม่ต้องเล่าซ้ำกับสิ่งที่เกิดขึ้น สำหรับนักเตะทั้งสองทีมชีวิตไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป นักเตะหงส์แดงกลายเป็นตำนานของสโมสร ขณะที่อีกฝั่งยังงงวย แม้ว่ามิลานจะชำระแค้นได้ที่เอเธนส์ในปี 2007

“ผมจะมีวันย้อนกลับไปดูเกมนั้นอีกครั้ง”อันเดรีย ปีร์โล่เขียนในหนังสืออัตชีวประวัติของเขา I Think Therefore I Play. “ผมเล่นมันด้วยตัวเองครั้งเดียว และอีกหลายครั้งในหัวของผม ค้นหาคำอธิบายที่อาจจะไม่มีวันมีอยู่จริง”

“ผู้คนอาจจะมีคำโบราณว่า ‘เกมหนึ่งนัดมีสองครึ่ง’ เกี่ยวกับนัดชิงชนะเลิศ แต่มันไม่ใช่ มันเป็นเกม 114 นาทีสำหรับฝั่งหนึ่ง และรวมอีก 6 บวกจุดโทษที่ไปอยู่อีกข้าง!”เขาหัวเราะ

“แต่นั่นคือธรรมชาติของเกมฟุตบอล นักเตะลิเวอร์พูลบางคนล้ม บางคนถูกบีบให้หลุดตำแหน่ง และมีบางคนที่อยู่ที่นั่น ถ้ามองหน้า จะไม่มีทางได้อยู่ในทีมของเจอร์เกน คล็อปป์ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขายังคงสู้ต่อไป”

“ผมไม่คิดว่ามิลานเล่นได้ไม่ดี ความจริงแล้วพวกเขาเล่นได้ดีมากในครึ่งแรก และหลังจากนั้นสิ่งที่คุณร้องขอให้ทีมทำได้คือสร้างสรรค์โอกาสต่อไป แต่มันตรงไปที่ผู้รักษาประตูที่เซฟได้อย่างยอดเยี่ยมเป็นพิเศษ และมันตรงไปหาเจมี คาร์ราเกอร์ทีเป็นยักษ์ใหญ่ในค่ำคืนนั้น”

แทบไม่น่าเชื่อเมื่อสเก๊าเซอร์ได้กลับมาชุมนุมที่ใจกลางเมืองอีกหลายพัน หรือไปยังสนามบิน และโทนี่ต้องต่อสู้กับการเขียนบล็อกที่บาร์ของโรงแรม กาเบรียลเล่จึงได้รับสิทธิพิเศษในการร่วมฉลองกับลิเวอร์พูลชั่วคราว แต่ฉากที่โรงแรมของทีมกลับสบายๆ อย่างน่าประหลาด เขาเพลิดเพลินกับการใช้ช่วงเวลาสงบๆ สะท้อนกับถ้วยหูโตเพื่อนใหม่ของเขาที่อยู่ตรงหน้า”

“สนามกีฬารวมกับอยู่ห่างจากอิสตันบูลไปราวๆ สามวัน และเราไปถึงที่นั่นช้าจนพลาดการฉลองไปหลายอย่าง”มาร์ค็อตติอธิบาย “ราฟา และผู้ช่วยของเขาอยู่ที่นั่น แต่สิ่งที่ผมประทับใจที่สุดคือสตีเวน เจอร์ราร์ด นั่งอยู่บนโต๊ะเตี้ยๆ ที่คุณเห็นในล็อบบี้ของโรงแรม พร้อมกับถ้วยรางวัลที่อยู่ข้างๆ เขา เขาใช้ทุกอย่างไปหมด ทุ่มเททุกอย่างลงไป และยังไม่ฟื้นตัว”

“ผมอาจจะจำมันผิด มันผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ในความทรงจำของผม มันเหมือนจะเหมือนกับภาพ่ายที่ทุกอย่างบริเวณพื้นหลังพร่ามัว และสิ่งเดียวที่เขาสนใจคือการจ้องมองไปที่ถ้วย ก่อนหน้านั้นพวกเขาอาจจะมีงานฉลองใหญ่ และเต้นรำ ผมไม่รู้! มีคนกระโดดไปรอบๆ และรู้สึกดีใจมาก แต่เขาดูสงบมากเงียบสงบ และผมก็รู้สึกประทับใจกับภาพนั้น มันดูเป็นเรื่องของชัยชนะอย่างเดียว”

ขณะที่บาร์เร็ตไม่สามารถเดินทางกลับไปเมอร์ซีย์ไซด์ทันขบวนพาเรดอีกวันได้ แต่ปาร์ตี้ตามท้องถนนในอิสตันบูลนั้นชดเชยได้ แชมป์สำหรับเขาในวัย 29 ปีในตอนนั้นมีความหมายสำหรับเด็กหงส์ในรุ่นนี้ที่แม้จะได้ยินเรื่องต่างๆ มามากมาย แต่ยังไม่เคยสัมผัสความรู้สึกถึงการคว้าแชมป์ยุโรปของลิเวอร์พูลด้วยตัวเอง

“ มันเป็นเรื่องตลกสำหรับคนรุ่นของผม” เขาไตร่ตรอง “ ผมคิดเสมอว่านั่นเป็นเหตุผลหลักว่าทำไมบรรยากาศกับเชลซี(ในรอบรองชนะเลิศ)นั้นช่างเหลือเชื่อมาก นี่คือเวลาของเรา และเราจะไม่ปล่อยให้มันผ่านไป

“ผมไม่อายที่จะบอกว่าผมร้องไห้หลังจากมาดริดเมื่อปีที่แล้ว และผมคิดว่านั่นเป็น เพราะผมมีลูกชาย และเพื่อนๆ  ของเขากับผม และในฐานะพ่อคุณจะได้เห็นว่ามันมีความหมายต่อเด็กลิเวอร์พูลอายุน้อยๆ แค่ไหน แต่ผมไม่ได้ร้องไห้หลังจากอิสตันบูล ผมคิดว่ามันมาจากส่วนผสมจากทั้งช็อก อิ่มอกอิ่มใจ และความรู้สึกเคลิบเคลิ้มที่หนักหน่วงกว่ามารวมตัวกันจนออกมาแบบนั้น”