เซสชั่นการเพิ่มความสัมพันธ์บางอย่างในทีมช่วงปรีซีซั่นอาจจะอยู่ในใจของเจอร์เก้น คล็อปป์ เมื่อเขาพูดกับนักข่าวในทันทีหลังเกมชนะที่เวสต์แฮม ยูไนเต็ดในเดือนมกราคม

หลังจากเห็นทีมของเขาทิ้งห่าง 19 คะแนนในตารางของพรีเมียร์ลีกผู้จัดการลิเวอร์พูลยกคำอุปมาอุปมัยที่อธิบายถึงการรับมือกับความต้องการในลีกสูงสุดฤดูกาลนี้ได้อย่างดีที่สุด

“วิธีที่ดีที่สุดคือ อย่าหายใจดัง หรือกระโจนลงไปในน้ำ” เขากล่าวที่ลอนดอน สเตเดียม “กลั้นหายใจไว้ และหลังจากนั้นปล่อยออกมา หลังจาก 38 เกม แล้วคุณจะได้เห็นว่าอะไรขึ้นตรงนั้น”

จอร์แดน เฮนเดอร์สันพูดคล้ายๆ กันตลอดทั้งฤดูกาลถึงการมีสมาธิ 100  เปอร์เซ็นต์ แม้สุดท้ายทีมจะคว้าแชมป์ลีกหลังผ่านไปเพียง 31 เกม และมีแค่ 3 เกมที่จบลงโดยพวกเขาไมได้รับชัยชนะ

ตั้งแต่วันแรกของเดือนสิงหาคม และวันที่ 4 ในแคมป์ที่เอเวียงของลิเวอร์พูล พวกเขารวมกันในการประชุมทีมที่สระว่ายน้ำของโรงแรมที่งดงามในฝรั่งเศส พวกเขาได้เจอกับเซบาสเตียน สเตดท์เนอร์ นักโต้คลื่นระดับโลกตามคำเชิญของคล็อปป์ ที่เข้ามาช่วยสอยให้นักเตะกลั้นหายใจให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยความพยายามครั้งแรกของทีมอยู่ที่ 10-90 วินาที หลังจากลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว

“ สิ่งที่พวกเขาทำในชีวิตประจำวัน มันยากที่จะเห็นภาพกว้าง และการพัฒนาในขนาดใหญ่” สเต็ดท์เนอร์กล่าวกับ Liverpoolfc.com เป็นเวลาหลายเดือนหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว "ทุกสิ่งที่เราทำในชีวิตประจำวัน เราคิดถึงมัน และนั่นคือชีวิตของเรา”

“แต่ถ้าเราถูกพรากไปจากมันอย่างสมบูรณ์ และถูกโยนทิ้งไปในความท้าทาย มันจะเปิดใจของเราสำหรับสิ่งที่อยู่ข้างนอกนั่น และความท้าทายที่จะเอาชนะมันได้ตอนที่มันดูยาก หรือเป็นไปไม่ได้”

ประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ก็แข่งขันกับเดยัน ลอฟเรน โดยทั้งคู่อยู่ใกล้กับตัวเลขระดับ 4 นาที

“เดยันทำมันได้นานที่สุด และโมเกือบสูสีมาก ผมคิดว่ามันแตกต่างกันประมาณ 15-20 วินาที” สเตดท์เนอร์เผย

“ผมเห็นได้ชัดว่า มีความสนใจมากขึ้นในตอนนี้ และมันน่าประทับใจในสิ่งที่ (ทีม) กำลังทำอยู่ ยิ่งคุณชนะเกมมากขึ้น ผมไม่คิดว่ามันจะง่ายขึ้น มันยากกว่าเดิม ทันใดนั้นความพ่ายแพ้กลายสิ่งที่เลวร้ายจริงๆ แม้ว่าคุณจะนำอยู่ข้างหน้า”

"ต้องมีการสร้างความกดดันขึ้นมามากมาย แต่ถ้าคุณไม่โฟกัส 100 เปอร์เซ็นต์ มันจะเป็นเหมือนกับการอยู่ใต้น้ำ”

“ถ้าคุณโฟกัสที่ ‘ผมอยากจะหายใจ ผมอยากจะเอาหัวขึ้นมาจากน้ำ’ ผมรู้สึกไม่สบาย คุณจะวิตกกังวลทันที และไม่สามารถทำอะไรได้เลย”

“แต่ถ้าคุณผ่อนคลาย และมีสมาธิ ‘โอเค ผมอยู่ที่นี่ มันดี ผมกำลังทำได้ดี และผมทำได้’ แล้วคุณจะเพิ่มระดับการแข่งขัน ‘โอเค ผมรู้เวลาของผม และผมรู้ว่าร่างกายที่อยู่ข้างในของผมทำได้ยาวนานกว่าผม ผมต้องนิ่งขึ้น และโฟกัสกับการผ่อนคลายมากขึ้น’ ทันใดนั้นเวลาก็จะผ่านไปสี่นาทีอย่างรวดเร็ว”

“ผมคิดว่าคุณสามารถตีความมันได้กับทุกอย่าง พวกเขาเข้าใจมันได้อย่างรวดเร็วจริงๆ”

ลิเวอร์พูลได้เรียนรู้กับการรับมือกับแรงกดดัน มันสะท้อนจาก 14 เกมในลีกที่พวกเขาชนะคู่แข่งด้วยผลต่รางประตูเดียว ขณะที่ชัยชนะเหนือนิวคาสเซิล, ท็อตแน่ม และแอสตัน วิลลาเกิดขึ้นจากเกมที่ตามหลังไปก่อน

สเตดท์เนอร์ ที่คว้าแชมป์ XXL Biggest Wave Award สองครั้ง เล่ารายละเอียดเกี่ยวกับความมุ่งมั่นในทีมแชมป์ยุโรปเมื่อไม่นานมานี้ และว่าที่แชมป์โลก และแชมป์อังกฤษ ในเวลาต่อมา

“ผมเล่าพื้นฐานเกี่ยวกับชีวิต และกีฬาของผม” นักกีฬาชาวเยอรมันเล่า “สำหรับเราในฐานะนักโต้คลื่น เรามักจะมองหาคลื่นที่สมบูรณ์แบบ คลื่นที่สมบูรณ์แบบนั้นเป็นเพียงพื้นฐานความคิด เพราะมันไม่มีอยู่จริง”

"เมื่อผมโต้คลื่นได้สำเร็จไปหนึ่งคลื่นอย่างที่ผมฝันไว้ และโชว์ฟอร์มออกมาได้อย่างที่ผมต้องการ แล้วผมจะคิดถึงลูกต่อไปในอุดมคติ เพราะผมเรียนรู้บางอย่างจากการโต้คลื่นนั้นแล้ว”

"ผมโต้คลื่นลูกใหญ่ๆ หลายครั้ง มันไม่ใช่ความท้าทายอีกต่อไป นั่นไม่ใช่การโชว์ฟอร์มที่สมบูรณ์แบบ และคลื่นที่สมบูรณ์แบบ แม้ว่ามันจะใหญ่ที่สุดในโลก”

“ตอนนี้มันกลายเป็นการปรับตัวให้มากขึ้นในการโชว์ฟอร์ม ซึ่งยิ่งกว่าการโต้คลื่นที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่ยังลึกซึ้งยิ่งขึ้น”

“การประยุกต์เรื่องนี้ผมคิดว่าใช้ได้กับการแข่งขันกีฬาทุกประเภท คุณต้องไม่มีวันพอใจ คุณต้องไม่มีวันหยุดนิ่ง

“ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้ลิเวอร์พูลแยกจากสโมสรอื่นๆ มากมาย แรงผลักดันในการแข่งขัน และการไม่พอใจ และมองไปข้างหน้าเสมอคือสิ่งที่ผลักดันพวกเขา 'เราชนะบางอย่างตอนนี้ เราเป็นแชมป์แล้ว และทำได้' จนกระทั่งเราเลิกเล่น เราไม่เคยหยุดเลย”

“มันคือความท้าทาย แต่มันไม่ได้ดูเหมือนกับความท้าทายอีกต่อนไป นั่นแสดงออกมาด้วยฟอร์มระดับสูงสุดในจุดที่ดีที่สุด

คล็อปป์รู้จักเกี่ยวกับสเตดท์เนอร์วัย 34 ปีหลังจากดูสารคดีของเขาทางโทรทัศน์ เขามายังแอนฟิลด์ในชัยชนะสุดดราม่าเหนือท็อตแนม 2-1 ในฤดูกาล 2018-19 และเป็นครั้งแรกที่เจอกับนายใหญ่หงส์แดงหลังเกม ก่อนได้รับคำเชิญให้มาพูดคุยกับทีมหลังจากนั้น

“ หลายสิ่งที่เจอร์เก้นทำในแบบของเขาซึ่งอาจไม่ใช่เรื่องธรรมดา และบางทีคนอื่นอาจไม่เข้าใจตอนที่เขาเริ่มทำงาน” สเตดท์เนอร์พูดถึงเพื่อนร่วมชาติของเขา "แต่พวกเขาจะเห็นผลที่ออกมา และทันใดนั้นมันจะดูเป็นเรื่องอัจฉริยะทันที”

“ผมไม่ได้รู้จักเขามากนัก แต่จากสองวันที่ได้ออกไปเที่ยวกับเขา เขาเป็นคนอยากรู้อยากเห็น และน่าสนใจจริงทั้งในความเป็นมนุษย์ และในวงการกีฬา

“ ความหลงใหล ความรัก และความคลั่งไคล้ในเชิงบวกที่เขามีกับกีฬา นั่นคือ สิ่งที่ทำให้เขาเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่”