นั่นคือช่วงเวลาอันเป็นสัญลักษณ์ของพ่อ และลูกชายที่ผู้คนนับล้านทั่วโลกจับตามอง และมันแทบจะไม่เคยเกิดขึ้นเลย

ตอนที่ไบรอัน เฮนเดอร์สัน เข้าไปนั่งข้างสนามที่เอสตาดิโอ เมโทรโปลิตาโน่ ในแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ ปี 2019 เขาติดอยู่กับเรื่องนี้

แน่นอนว่ามีความตึงเครียดตามธรรมชาติ ที่จอร์แดนลูกชายของเขากำลังอยู่ในความพยายามที่จะชูด้วยยุโรปเป็นปีที่สองติดต่อกัน

แต่ไบรอันคิดไปไกลกว่านั้น ถ้าทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์บรรลุตามเป้าหมาย และเอาชนะท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ในค่ำคืนที่ร้อนชื้นที่มาดริด เขาจะลงไปในสนามเพื่อโอบกอดจอร์แดนได้อย่างไร

ความกังวลของเขาบรรเทาลงเมื่อเขาได้ยินเกี่ยวกับทางเดินที่เป็นไปได้ อ้อมน่อย แต่เป็นไปได้ ผ่านอุโมงค์กลางสนามกีฬาของแอตเลติโก้ มาดริด และลงไปถึงพื้นสนามได้

ไบรอันจึงนั่งลงดูเกม และดูว่าแผนของเขาจะมีความจำเป็นหรือไม่

จุดโทษในนาทีที่สองของโมฮาเหม็ด ซาลาห์ช่วยให้ลิเวอร์พูลได้เปรียบ แต่รอบชิงชนะเลิศยังอยู่บนความเสี่ยงไปจนถึงนาทีที่ 87 ที่ดิว็อค โอริกีซัดเลียดตุงตาข่ายการันตีการคว้าแชมป์สมัยที่หกในรายการนี้

มันถึงเวลาของไบรอันจะเริ่มขยับตัว

ขณะที่เขาเดินไปเส้นทางที่ได้รับคำแนะนำ ผ่านการทำงานภายในสนามกีฬา รวมถึงพื้นที่สำนังาน และห้องสุขา ความสงสัยคืบคลานเข้ามา เส้นทางเดินที่แปลกประหลาดนี้จะพาเขาไปหาจอร์แดนได้จริงหรือไม่?

ตลอดเส้นทาง เขาอาจจะพลาดการชูถ้วย และมีการ ‘สับขา’ มันจะกลายเป็นเครื่องหมายการค้าของลูกชายของเขาตลอดหลายปีข้างหน้า

แต่ในที่สุด ไบรอันก็เห็นพื้นหญ้าสีเขียว และแสงไฟที่ส่องสว่าง และอดัม ลัลลานา

เขาทำสำเร็จ

“ผมพูดไปว่า ‘อดัม ช่วยเราหน่อยเถอะ ไปเรียกเจ้าหนูนั่นมาหน่อย’ ‘ใช่, ใช่เลย… โอ้ พระเจ้า คุณลงมาได้ยังไง?!’ นั่นคือคือตอนที่จอร์แดนออกมา และกลายเป็นช่วงเวาที่ออกมาเป็นสัญลักษณ์”เขาอธิบายในสารคดีตอนใหม่ของ LFCTV ที่ฉลองครบรอบ 10 ปีที่แอนฟิลด์

พ่อและลูกชายของเขาเข้ามาสู่อ้อมแขนของกันและกัน การอดกันอย่างยาวนาาน และเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของสิ่งที่กองกลาง เพื่อนร่วมทีมของเขา และสโมสรทำ

“ผมไม่รู้ว่ามันฮิตในยูทูปแค่ไหน… มันมีแค่สองสามคลิปเท่านั้น! ผมประหลาดใจมาก”ไบรอันกล่าวต่อไป “ผมไม่เคยใครเลย ผมไม่เห็นช่างภาพเลย ผมเห็นเพียงจอร์แดน ผมเห็นนักเตะคนอื่นๆ และผมจดจ่ออยู่กับพวกเขา”

“ผมไม่รู้เลยจนตอนหันกลับมา และผมได้ยินเสียงแกร็กๆๆ ของกล้องทั้งหมดที่กำลังถ่ายอยู่ ผมไม่ได้คาดหวังว่าช่วงเวลาร่วมกับเขาจะอยู่หน้ากล้อง และออกทีวี”

“ผมภาคภูมิใจกับเขามาก ผมพูดคุยกับเขาในเรื่องนี้ กับเรื่องอื่นๆ ที่ค่อนข้างเป็นส่วนตัว ตอนนั้นเขาอายุ 29 ปี และผมไม่เคยโอบกอดเขาอย่างนั้นเขา ชัดเจนว่าเราเคยทำตอนเด็กๆ แต่เมื่อคุณเติบโตขึ้นคุณมักจะไม่ค่อยได้สัมผัสกับในเรื่องแบบนี้ใช่ไหม?”

“ผมเลยไม่อยากปล่อยมันไป และผมไม่คิดว่าเขาทำเหมือนกัน เพราะว่าเขาเห็นกล้อง ผมไม่เคยเห็น เพราะพวกเขาอยู่ข้างหลังผม แน่นอนว่าเขายังอินกับมัน และไม่อยากเงยหน้าขึ้นจนกว่าเขาจะสงบ ซึ่งใช้เวลาสักพัก”

“ผมแค่พูดว่า ‘ลูกทำได้ พ่อรู้ว่าลูกจะทำได้ พ่อบอกลูกในปีที่แล้วไม่ว่าลูกจะได้ชูถ้วยหรือไม่? รอดูช่วงเวลานี้ในปีหน้า ลูกจะได้ชูถ้วยพรีเมียร์ลีก พ่อบอกลูก ลูกจะทำได้ กับทีมชุดนี้ลูกจะทำได้ และกับผู้จัดการทีมอย่างนี้”

“ผมดีใจสุดๆ”

ชีวิตของเขาสัมพันธ์กับฟุตบอลตั้งแต่ก่อนที่เขาเกิดด้วยซ้ำ  กับเรื่องราวในวันที่ 17  มิถุนายน 1990 ก่อนวันเกิดของเฮนเดอร์สันหนึ่งวัน ที่อังกฤษเตรียมเผชิญหน้ากับฮอลแลนด์ในฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลี และไบรอันอยากจะเปิดดูเกมบิ๊กแมตช์นั้น

“ผมเสียดาย เพราะว่าน้ำคร่ำแตก และผมอยากจะดูเกม! ผมพูดไป ‘เขาทนอีกนิดไม่ได้เหรอ?’ “เขาเล่าพร้อมกับเสียงหัวเราะ

“แต่ยังไงก็ตาม เราต้องไปโรงพยาบาล และเธออยู่ในภาวะคลอดบุตรประมาณ 26 ชั่วโมง ซึ่งจอร์แดนคลอดออกมาในวันรุ่งขึ้น ผมพลาดเกมนั้น ผมเสียดายมาก แต่ผมได้ลูกชายตัวน้อยที่น่ารักออกมาแทน ซึ่งมันเป็นกำลังใจของผมในวันรุ่งขึ้น”

ไบรอันเกิดในเซาท์ ชิล์ดส์ และย้ายไปซันเดอร์แลนด์หลังจากได้พบกับแม่ของจอร์แดน และที่นั่นพัฒนาสวรรค์ด้านฟุตบอลของเขา ตังแต่เริ่มเล่นฟุตซอลมาจนเข้าอะคาเดมีของทีมแมวดำในวัย 7 ขวบ ในขณะที่พ่อของเขาปล่อยโอกาสเล่นกอล์ฟ แฮนดิแคปหลุดมือไปเพื่อคอยสนับสนุนเส้นทางฟุตบอลของลูกชายแทน

“เขาทำได้ดีในทุกๆ ตำแหน่งที่เขาเล่น”ไบรอันกล่าว “เขาเคยเล่นกองหน้าตัวเป้า เขาเคยเล่นกองกลาง”

“เหมือนกับที่เขาทำในตอนนี้นิดหน่อย ผมคิดว่าตำแหน่งเดียวที่เคยไม่เคยเล่นที่ลิเวอร์พูลก็คือโกลใช่ไหม?”

“เขาเล่นได้ในทุกๆ ที่ และทุกที่ที่เขาลงเล่น เขาเล่นได้ดีมาก แต่มันมาจากความรักในเกมที่เขามี คุณไม่สามารถทำให้เขาล้มลง หายากมากที่คุณจะทำ บางครั้งมันอาจจะทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อยถ้าเขาไม่ชนะเกม ซึ่งไม่บ่อยนักที่เขาจะเป็นอย่างนั้นตั้งแต่ยังเด็ก”

จอร์แดนผ่านทุกระดับในทีมซันเดอร์แลนด์จนประเดิมทีมชุดใหญ่ในวัย 18 ปี ที่รอย คีนส่งเขาลงเป็นตัวสำรองในเกมพรีเมียร์ลีกที่สแตม ฟอร์ด บริดจ์เมื่อพฤศจิกายน 2008 ที่ทีมของเขาแพ้ 0-5 และเรียนรู้ว่าต้องพัฒนาสภาพร่างกายให้แข็งแกร่งขึ้นจากประสบการณ์ที่ได้รับสองสามสัปดาห์หลังจากนั้น

“สองสามเกมถัดไปเขาอยู่ในทีม แต่ไม่ถูกเรียกตัว หลังจากนั้นเขาหลุดจากทีมไปหนึ่งเกม อาจจะสี่สัปดาห์หลังจากประเดิมสนามครั้งนั้น” ไบรอัน

“เขาเคยพูดกับผมไว่า ‘ผมจะเข้าไป และเคาะประตูห้องเจ้านาย’ ผมตอบไปว่า ‘ทำไม? เขาตอบ ‘เขาอยากจะรู้ว่าทำไมผมไม่ได้อยู่ในทีม’ ผมตอบไปว่า ‘จอร์แดน ลูกเป็นเด็กฝึก ลูกยังเด็ก’ ‘ผมไม่สน ผมเคยเล่นกับเชลซี’ “

“และเขาก็ไป และเคาะประตูห้องของรอย คีน และถามเขาว่าทำไม ผมคิดว่ารอยตอบคำ เพราะว่าคุณกำลังเรียนรรู้ และผมจะส่งคุณลงตอนที่ผมคิดว่าคุณน่าลงเล่นได้ เขามีความสุขกับเรื่องนี้”

เฮนเดอร์สันเล่นต่อไปอีกมากกว่า 70  เกมให้กับซันเดอร์แลนด์ และทำไป 5 ประตูก่อนย้ายไปลิเวอร์พูลในปี 2011 ที่เขาเริ่มจากเป็นตัวริมส้นด้านขวาในทีมของเคนนี ดัลกลิช และได้ลงเล่นนัดชิงบอลถ้วยสองรายการ รวมถึงเหรียญแชมป์ลีกคัพ

เบรนแดน ร็อดเจอร์สเข้ามาในปี 2012 เขาได้รับข้อเสนอให้ย้ายออกจากแอนฟิลด์ที่เขาปฏิเสธเกือบทันที และสู้ต่อเพื่อแย่งตำแหน่ง ก่อนที่ภายในสองปีเขาจะรับตำแหน่งรองกัปตันทีมถัดจากสตีเวน เจอร์ราร์ด และสองปีต่อมาเขาได้สวมปลอกแขนถาวร

ในระหว่างนั้นที่ร็อดเจอร์สนำลิเวอร์พูลลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกอย่างน่าตื่นเต้น โดยเฉพาะในฤดูกาล 2013-14 แต่ครอบครัวขงเฮนเดอร์สันต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“ผมไม่เจอจอร์แดนเป็นปี”ไบรอันที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งในปี 2013 อธิบาย “ผมพูดคุยกับเขาบ่อยๆ และผมเคยบอกเขาว่า “เอางี้นะ พ่อไม่อยากจะเจอลูก แต่สิ่งที่พ่ออยากจะให้ลูกทำเพื่อให้กำลังใจพ่อ คือคว้า(รางวัล) แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“ผมจำได้หลังจากที่พูดเรื่องนี้ ผมคิดว่าเกมแรกของเขาเป็นเกมกับสเปอร์สที่ผมไม่รู้ว่าเขายิงหนึ่ง หรือสองประตู แต่ผมคิดว่าเขาได้แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ผมไม่แน่ใจ”

“นับจากนั้นตอนที่ผมดูเกมต่างๆ บนเตียงที่โรมพยาบาล หรือผมได้กลับบ้าน หากคุณลองเช็กดูเขาได้(รางวัล)แมน ออฟ เดอะ แมตช์สองสามครั้ง เขาทำได้ดี ช่วยให้เราผ่านมันมาได้”

“และต้องขอบคุณพระเจ้า ผมอยู่ที่นี่ เดินได้ พูดได้ และหายใจได้ในเวลาเดียวกัน”

และเขายังได้เห็นลูกชายสร้างประวัติศาสตร์กับหงส์แดง

หลังจากเพิ่มถ้วยยูฟา ซูเปอร์ คัพ และฟีฟา คลับ เวิลด์ คัพ ต่อจากแชมเปียนส์ลีกในปี 2019 เฮนเดอร์สันทำได้ตามที่พ่อของเขาทำนายไว้ด้วยการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกในโอกาาสครั้งถัดมา ยุติการรอตอย 30 ปีของสโมสรด้วยการเก็บ 99 แต้ม

แม้ว่าทั้งคู่จะไม่ได้กอดกันข้างสนามในคราวนี้ตอนที่ลิเวอร์พูลฉลองแชมป์ลีก แต่ความภาคภูมิใจของไบรอันยังคงท่วมท้น

“สี่ถ้วยในรอบ 12 เดือน ผมชอบซิการ์ และแชมเปญ ในฐานะพ่อแม่ ผมหมดหน้าที่แล้ว!”เขายิ้ม

“ผมเคยพูดว่า ‘แต่จอร์แดนจะเดินหน้า และทำอย่างนี้ทุกปี” และถ้าเขาทำได้ก็ขอให้เขามีความสุข แต่ในฐานะพ่อแม่ คุณคงไม่อาจจะทำอะไรได้ดีกว่านี้ใช่ไหม? ผมพอใจมากจริงๆ”

นอกสนามเฮนเดอร์สันยังคอยสนับสนุนชุมชน โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่ท้าทายอย่างการระบาดของโควิด-19 ที่เขาคอยให้การสนับสนุนองค์กรการกุศลต่างๆ

“ผมน่าจะภาคภูมิใจมากกว่ากับวิธีการที่เขาทำหน้าที่พ่อ และคนธรรมดา มากกว่าที่เขาเป็นนักฟุตบอล เพราะว่าเขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมมากๆ” ไบรอันกล่าว “และผมคิดว่าคนส่วนใหญ่ที่คุณเคยคุยด้วยจะพูดแบบนี้”