Match Report: ลิเวอร์พูลดวลจุดโทษชนะเชลซีคว้าแชมป์คาราบาว คัพ
ลิเวอร์พูลคว้าแชมป์คาราบาว คัพ ได้สำเร็จ โดยดวลจุดโทษชนะเชลซี หลังเสมอแบบไร้สกอร์เมื่อต่อเวลาพิเศษ
รายชื่อนักเตะ
11 ตัวจริง: เคลเลเฮอร์, อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, มาติป, ฟาน ไดจ์ค, โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่, ติอาโก้, เฮนเดอร์สัน, ดิอาซ, ซาลาห์ และมาเน่
สำรอง: อลิสสัน, โกนาเต้, มิลเนอร์, เกอิต้า, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, มินามิโนะ, โชต้า, ซิมิกาส และโอริกี
เกมในครึ่งแรก
ลิเวอร์พูลลงเล่นเกมนัดชิงชนะเลิศคาราบาว คัพ กับเชลซี ที่เวมบลีย์ โดยก่อนจะเริ่มเกม ลิเวอร์พูลจำเป็นต้องเปลี่ยนติอาโก้ออกเพราะได้รับบาดเจ็บขณะวอร์มอัพ โดยต้องส่งเกอิต้าลงมาเล่นแทน
เมื่อเริ่มเกมตั้งแต่นาที 6 เคลเลเฮอร์เซฟจังหวะยิงจ่อๆ ของพูลิซิชออกไปได้อย่างยอดเยี่ยม! จากนั้นในนาที 16 เม้าท์กับโควาซิชได้ยิงในเขตโทษ ติดเกมรับของลิเวอร์พูลที่ช่วยกันขวางหน้าประตู
ลิเวอร์พูลได้บุกบ้างในนาที 18 มาเน่พุ่งโหม่งสุดตัวใส่บอลของเทรนต์ บอลไม่ตรงกรอบ ก่อนที่นาที 21 มาเน่เรียกฟรีคิกระยะอันตรายให้ลิเวอร์พูล แต่เทรนต์เปลี่ยนจุดให้ซาลาห์ยิง บอลไม่ตรงกรอบ
ลิเวอร์พูลยังคงพยายามอย่างหนัก โดยในนาที 30 เกอิต้ายิงไกล ไปติดเซฟของเมนดี้ มาเน่พุ่งไปตามซ้ำแต่นายประตูเชลซีเอามือปัดออกไปได้อย่างเหลือเชื่อ
เชลซีเกือบได้ประตูขึ้นนำเช่นกันใน นาที 34 ฮาแวตซ์ได้หลุดไปดวลกับเคลเลเฮอร์ นายประตูของเราออกมาปิดมุมได้เร็วทำให้เขายิงไม่เข้ากรอบแต่มีธงล้ำหน้าขึ้นมาในภายหลัง รวมทั้งในนาที 42 อัซปิลิซกวยต้าวิ่งเข้ามายิงหน้าเขตโทษ บอลไม่เข้ากรอบ และนาที 45 เม้าท์วิ่งเข้ามายิงตรงกลางประตู บอลเฉี่ยวเสาออกไปนิดเดียว
จบครึ่งแรกที่เวมบลีย์ ทั้ง 2 ทีมแลกกันอย่างสนุกแต่ยังไม่มีประตูเกิดขึ้น สกอร์อยู่ที่ 0-0
เกมในครึ่งหลัง
เกมยังคงสูสี และเร็วตั้งแต่เริ่มครึ่งหลัง โดยในนาที 49 เม้าท์ได้หลุดมายิงในเขตโทษ บอลพุ่งไปชนเสา ก่อนที่ในนาที 51 เมนดี้พุ่งออกมาทุบบอลทะลุช่องตรงกลางของดิอาซได้ก่อนที่มาเน่จะเข้าถึง
นาที 58 เม้าท์ได้บรรจงยิงในเขตโทษ เคลเลเฮอร์รับเข้าซอง ไม่มีปัญหา
นาที 64 ซาลาห์หลุดไปดวลกับเมนดี้ก่อนจะยิงผ่านเขาไปแล้วแต่ ติอาโก้ ซิลวา ตามมาสกัดออกหลังอย่างหวุดหวิด
ลิเวอร์พูลเกือบได้ประตูขึ้นนำไปก่อนในนาที 67 โจเอล มาติป พุ่งมาโหม่งที่เสาไกล บอลเสยเพดานเข้าไปให้ลิเวอร์พูลขึ้นนำ 1-0 แต่สจ็วร์ต แอตเวลล์ ไปเช็ค VAR และตัดสินไม่ให้ประตูเนื่องจากฟาน ไดจ์คไปขวางเจมส์ในจังหวะจะเล่นเกมรับ สกอร์ยังคง 0-0
ลิเวอร์พูลยังคงทำเกมบุกเรื่อยๆ ต่อไป ดดยในนาที 70 ดิอาซตบเข้ากลางจะให้มาเน่แต่โดนสกัดออกไปก่อน และในนาที 75 ดิอาซได้พาบอลมาดวลกับเมนดี้ แต่เขายิงไปติดขาของนายประตูเชลซี
เชลซีก็มีโอกาสบ้างเช่นกันในนาที 78 ฮาแวตซ์ได้โขกเหน่งๆ แม้จะติดเซฟของเคลเลเฮอร์แต่บอลเข้าประตูไปได้ทว่ามีธงล้ำหน้าขึ้นมาก่อน
เมื่อเกมถึงนาที 80 คล็อปป์ส่งเอลเลียต, โชต้า และมิลเนอร์ลงมาเล่นแทนเฮนเดอร์สัน, เกอิต้า และมาเน่
จากนั้นนาที 85 ดิอาซกับมาติปได้ยิงคนละหนึ่งครั้งในเขตโทษ ไปติดเซฟของเมนดี้ทั้งหมด
ทดเจ็บครึ่งหลัง 6 นาที
นาที 90+1 ฟาน ไดจ์คได้โหม่งลุ้นทำประตู ไปติดเซฟของเมนดี้
นาที 90+2 เทรนต์สไลด์ขวางการยิงของแวร์เนอร์เอาไว้ได้
นาที 90+5 เคลเลเฮอร์เซฟการยิงจ่อๆของลูกากู
จบเกมในเวลาปกติ 90 นาที ทั้ง 2 ทีมต่างมีโอกาสแต่ผู้รักษาประตูของพวกเขาทำงานได้อย่างยอดเยี่ยม เกมเสมอกัน 0-0 ต้องต่อเวลาพิเศษออกไป
เกมในครึ่งแรกของช่วงต่อเวลาพิเศษ
เริ่มการต่อเวลาพิเศษครึ่งเวลาแรก ลิเวอร์พูลเปลี่ยนโกนาเต้ลงมาแทนมาติป ก่อนที่ในนาที 49 เม้าท์ได้หลุดมายิงในเขตโทษ บอลพุ่งไปชนเสา
นาที 94 แวร์เนอร์ได้ปั่นโค้งทางฝั่งซ้าย บอลหลุดออกไปไกล
นาที 97 โอริกีได้รับโอกาสลงมาเล่นแทนดิอาซ
นาที 98 ลูกากูส่งบอลเข้าไปแล้วแต่ล้ำหน้าเสียก่อน
นาที 105 ฮาแวตซ์กับเทรนต์รับใบเหลืองหลังจากมีจังหวะปะทะกัน
จบครึ่งแรกของการต่อเวลาพิเศษ ยังเสมอ 0-0
เกมในครึ่งหลังของช่วงต่อเวลาพิเศษ
นาที 108 ลูกากูเกี่ยวบอลยาวของจอร์จินโญ่ไม่ติด เคลเลเฮอร์ออกมารับได้
นาที 109 ฮาแวตซ์ส่งบอลไปกองก้นตาข่ายแล้วแต่เป็นจังหวะล้ำหน้า
จบการต่อเวลาพิเศษอีก 30 นาที ทั้ง 2 ทีมต่างมีโอกาสแต่ไม่สามารถเจาะประตูกันได้ ต้องไปดวลจุดโทษตัดสินผู้ชนะ และเป็นลิเวอร์พูลที่ชนะไป 11 ต่อ 10