ลิเวอร์พูล การันตีตำแหน่งจ่าฝูงในวันคริสต์มาส

ชัยชนะ 2-0 ที่วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ทำให้หงส์แดงนำห่างเป็น 4 คะแนนเต็ม ในตำแหน่งจ่าฝูงของพรีเมียร์ลีก หลังแมนเชสเตอร์ ซิตี้ พ่ายให้กับคริสตัล พาเลซ เมื่อคืนวันเสาร์

โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ช่วยให้ลิเวอร์พูลออกนำที่โมลินิวซ์ด้วยการจบสกอร์เร็วเข้าประตูไปอย่างงดงามในนาทีที่ 18 และ เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค มาเพิ่มการขึ้นนำเป็น 2 ประตู  ในครึ่งหลัง และนี่คือ 5 ประเด็น สำคัญจากเกมกับวูล์ฟส์...

ซาลาห์ครองอันดับ 1 ของชาร์ทดาวซัลโวลีก

ผู้เล่นหมายเลข 11 ของลิเวอร์พูลแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมอย่างที่สุดในหลายๆ จังหวะที่โมลินิวซ์ แม้ฝนจะตกอย่างหนัก แต่เขาก็สามารถทำประตูที่ 11 ในพรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ

ทั้งการเคลื่อนที่เร็ว, เทคนิค และการพาบอลลอดขา, การจบสกอร์ด้วยข้างเท้าด้านนอก หลังรับบอลที่ฟาบินโญ่ หยอดตัดหลังมาให้ นั้นเป็นจังหวะที่น่าทึ่ง

ทำให้เวลานี้ซาลาห์ ขึ้นเป็นดาวซัลโวสูงสุดในพรีเมียร์ลีกอย่างแท้จริง นำหน้า ปิแอร์-เอเมริค โอบาเมย็อง กองหน้าของอาร์เซนอลอยู่ 1 ประตู

แต่ความสำคัญของประตูที่แข้งชาวอียิปต์รายนี้ คือ 8 จากประตู จากจำนวนดังกล่าว คือประตูที่เป็นประตูแรกของเกม และมีส่วนกำหนดรูปแบบของเกมที่จะตามมา

จังหวะที่ยอดเยี่ยมของเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค

ฟาน ไดจ์ค เซ็นเตอร์แบ็คลิเวอร์พูลเลือกช่วงเวลาของเกมเพื่อจะทำประตูแรกของเขาในพรีเมียร์ลีกให้กับสโมสรได้อย่างเพอร์เฟ็กต์ หลังจากวูล์ฟส์เริ่มจะแสดงให้เห็นถึงสัญญาณในการต่อสู้เพื่อกลับมาในเกมต่อหน้าแฟนๆ ของพวกเขา

เจ้าบ้านจบครึ่งแรกได้อย่างแข็งแกร่ง และหลังจากการเอาตัวรอดจากการที่หงส์แดงโถมเข้าใส่ในช่วงต้นครึ่งหลัง พวกเขาดูจะค้นพบแรงขับเคลื่อนของการบุกอยู่บ้าง

อย่างไรก็ตาม เมื่อจังหวะเตะมุมสั้นถูกเคลียร์ออกมา แต่ไม่พ้นทางของซาลาห์ และฟาน และไดจ์ค ที่อยู่ตรงนั้น ขยับเข้าไปยิงบอลที่เปิดเข้ามาอย่างสวยงามด้วยข้างเท้า และทำให้ผู้มาเยือนออกนำ 2 ประตูเมื่อเวลาผ่านไป 68 นาที

หลังจากทำประตูได้ จากนั้นผู้เล่นชาวดัตช์ก็กลับไปรับมือเกมบุกที่อันตรายจากเจ้าบ้าน ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะปิดเกมได้ในที่สุด

ผู้เล่นหมายเลข 4 เอาชนะการดวลลูกกลางอากาศ 100%, เคลียร์บอล 5 ครั้ง, แย่งบอลกลับมาให้ทีมได้ครอบครอง 3 ครั้ง, เข้าสกัด 2 ครั้ง และดักบอลได้อีก 1 ครั้ง

นัดที่ 300 กับสโมสร

จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ลงเล่นนัดที่ 300 ของเขาให้ลิเวอร์พูล แต่มันไม่เพียงแค่เป็นเกมสำคัญสำหรับกัปตันเท่านั้น เขายังเป็นผู้เล่นที่มีประสิทธิภาพตรงกลางสนามด้วย

ผู้เล่นวัย 28 ปี รายนี้ ผ่านบอลมากกว่าใคร (70 ครั้ง), ด้วยเปอร์เซ็นต์ความแม่นยำที่ดีกว่า (90%) และแย่งบอลกลับมาได้มากกว่า (7 ครั้ง) ผู้เล่นมิดฟิลด์คนอื่นๆ ในทีม

การผ่านบอลขนานเส้นที่ยอดเยี่ยมให้กับซาลาห์เพื่อทำอีกหนึ่งประตูช่วงท้ายเกม แม้อาจจะไม่ได้เป็นการผ่านบอลที่ดีที่สุด แต่กัปตันทีมได้แสดงถึงผลงานซึ่งแสดงความกระตือรือร้นในการขึ้นเกมตามแบบฉบับของเขา และนับตั้งแต่การประเดิมสนามนัดแรกของเขาให้กับหงส์แดงเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 2011, มีเพียง ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ (43 ครั้ง) เท่านั้นที่ทำแอสซิสต์ได้มากกว่าเขา ที่ทำไป 39 ครั้ง

มิดฟิลด์โฉมใหม่

เจอร์เก้น คล็อปป์ นายใหญ่ของลิเวอร์พูลได้ส่งมิดฟิลด์ที่ไม่คุ้นตาเป็นตัวจริงด้วยกันเป็นครั้งแรกกับการใช้ฟาบินโญ่, เฮนเดอร์สัน และ นาบี เกอิต้า ที่วูล์ฟส์

เกอิต้าประจำการอยู่ทางซ้าย และ ซาดิโอ มาเน่ ขยับลงมาเล่นริมเส้นฝั่งขวา ในบางครั้งหงส์แดงทำงานด้วยการมีมิดฟิลด์ 4 คน

ทีมค่อยๆ เข้าสู่เกมมากขึ้น เฮนเดอร์สันกับฟาบินโญ่ถอยลงไปเล่นลึก และอีก 2 คนผลักดันขึ้นหน้า

อย่างไรก็ตาม จังหวะจ่ายตัดหลังอันชาญฉลาดจากฟาบินโญ่นำไปสู่ประตูแรก โดยเปิดบอลได้อย่างพอดีให้ซาลาห์ ได้กลายเป็นแอสซิสต์หนที่ 2 ของเขาภายในหนึ่งสัปดาห์

ด้วยโปรแกรมที่จะเข้ามาถี่ และรวดเร็วตลอดช่วงเทศกาล คล็อปป์ มีแผนในแดนกลางซึ่งเขาสามารถจะเรียกใช้ได้เพิ่มเข้ามา

การสร้างประวัติศาสตร์

ชัยชนะในย่านมิดแลนด์สไม่เพียงแค่ทำให้ตำแหน่งผู้นำของลิเวอร์พูลแข็งแกร่งเท่านั้น แต่มันยังเห็นว่าทีมของคล็อปป์ได้ยืดสถิติสโมสรของพวกเขาสำหรับการไม่แพ้ทีมใดในพรีเมียร์ลีกออกไปเป็น 19 เกมด้วย

สถิตินี้ย้อนรวมไปถึงทุกๆ เกมในลีกสูงสุดของฤดูกาลนี้บวกกับเกมสุดท้ายของฤดูกาลที่ผ่านมา ทีมทำได้ดีอย่างต่อเนื่อง หลังจากเคยทำสถิติที่ดีที่สุดก่อนหน้านี้ 17 นัด ในยุคของ ราฟา เบนิเตซ เมื่อปี 2008

เวลานี้ทีมของคล็อปป์ชนะ 16 ครั้ง ตลอดสถิติไม่แพ้ทีมใดติดต่อกันของพวกเขา โดยทำได้ประตู 43 ประตู และเสียไปเพียง 7 ประตูเท่านั้น