ลิเวอร์พูลต้องพยายามโชว์ฟอร์มให้ดีที่สุด ในเกมรอบรองชนะเลิศ เลกที่สอง ในวันอังคารนี้ หากต้องการพลิกสถานการณ์ที่เป็นรองจากความพ่ายแพ้ 0-3 ในเกมเยือนบาร์เซโลนา

และนี่เป็น 3 ตัวแปรสำคัญที่อาจจะเป็นจุดชี้เป็นชี้ตายสำหรับเกมนัดนี้

ซาดิโอ มาเน่ v เคราร์ด ปิเก้

สถิติชี้ว่ากองหน้าเซเนกัลน่าจะทำประตูในค่ำคืนวันอังคารนี้  หลังจากเขาทำประตูทุกเกมในรอบน็อกเอาต์ รวมถึงนัดชิงชนะเลิศในฤดูกาลที่แล้ว และการไม่มีโรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ จากการบาดเจ็บ รวมถึงโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่อาจจะลงเล่นไม่ได้ทำให้ภาระทั้งหมดในเกมรุกจะตกไปอยู่กับที่เขา

มาเน่ทำไป 7 ประตูจาก 6 เกมหลังสุดที่แอนฟิลด์ รวมถึง 2 ประตูในเกมถล่มฮัดเดอร์สฟิลด์ 5-0 ในเกมล่าสุดในสนามแห่งนี้ เจ้าของเสื้อเบอร์ 10 ทำไปรวมแล้ว 24 ประตูตลอดทั้งฤดูกาลในทุกรายการ และมักจะยืนทางฝั่งซ้ายของแนวรุก หรือสลับมายืนตรงกลาง ที่เขามีโอกาสจะได้ดวลกับเคาร์ด ปิเก้ หากหงส์แดงต้องการลดช่องว่างของแต้มต่อในเวลานี้

ปิเก้ดีกรีแชมป์ 3 สมัยในรายงานนี้ สร้างชื่อเป็นหนึ่งในกองหลังตัวกลางที่ดีที่สุดในยุโรป นับตั้งแต่ย้ายจากแมนฯ ยูไนเต็ดกลับไปเล่นในสเปนตั้งแต่วัย 21 ปี ตอนนี้นักเตะวัย 32 ปีเป็นส่วนสำคัญในการรักษารูปแบบการเล่นของทีม และยังมีการเล่นบอลกับพื้นที่เชื่อใจได้ เขามีสถิติจ่ายบอลแม่นยำ 90-9 เปอร์เซ็นต์ และจ่ายบอลรวม 66 ครั้ง น้อยว่าเซร์จิโอ บุสเกตส์เพียงคนเดียวในสัปดาห์ที่แล้ว

ฟาบินโญ่ v อีวาน ราคิติช

ฟาบินโญ่เป็นหนึ่งในตัวอย่างของนักเตะลิเวอร์พูลที่ไม่มีโชคในเลกแรก การเข้าสกัดบอลอย่างถูกเวลาของเขาใส่ลิโอเนล เมสซี กลายเป็นจุดเริ่มต้นของประตูที่สองเมื่อลูกยิงโดนเข่าของหลุยส์ ซัวเรซ กระดอนคาน มาเข้าเท้าซ้ายของเมสซี หลังจากนั้นเขาก็ไปชนกับเมสซี และเสียฟรีคิกที่เป็นที่มาของประตูที่สาม จากฟรีคิก 30 หลาที่พุ่งเสียบสามเหลี่ยมสุดความสามารถของอลิสสัน เบ็คเกอร์ ที่จะพุ่งเซฟ

ฟาบินโญ่ที่ไร้โชคในเวลานี้ เป็นตัวจริงแค่ 1 จาก 6 เกมในรอบแบ่งกลุ่มของหงส์แดง แต่พลาดแค่ 13 นาทีในรอบน็อกเอาต์ ที่ผ่านมา เขาจ่ายบอลมากที่สุดในแดนคู่แข่งที่คัมป์ นูที่ 46 ครั้ง และความเยือกเย็นของเขาจะมีส่วนสำคัญในการทำลายจังหวะของบาร์ซ่าในเกมที่แอนฟิลด์

ในขณะที่พวกเขาบุกมาเก็บชัยชนะ 1-0 ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ในเดือนที่แล้ว พวกเขาทำประตูได้ตั้งแต่ 12 นาที จากเกมที่ครองบอล 66 เปอร์เซ็นต์ และตอนนี้พวกเขาน่าจะปรับเกมแบบนั้นเพื่อพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกมเปิดกว้างมากเกินไป และหัวใจสำคัญในสไตล์การจ่ายบอลของพวกเขาอยู่ที่อีวาน ราคิติช กอกงลางทีมชาติโครเอเชียที่ลงเล่นครบ 11 เกมแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาลนี้ รวม 941 นาทีในสนามที่เขาแสดงทักษะการเล่นออกมาอย่างเต็มที่

ในทีมบาร์เซโลนามีแค่บุสเกตส์ที่พยายามจ่ายบอลมากกว่าเขา (863) และจ่ายบอลสำเร็จ (801) รวมถึงวิ่งครอบคลุมพื้นที่ 111 กม.ในรายการนี้

“เราต้องการเข้าชิงชนะเลิศที่มาดริด” ราคิติชให้ความเห็นก่อนเลกแรกในเกมกับลิเวอร์พูล “เรารู้ว่า 2-3 ปีหลังสุดมันไม่ใช่ทัวร์นาเมนต์ที่ยอดเยี่ยมสำหรับเรา ซึ่งเราอยากจะไปที่นั่นในปีนี้”

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค v หลุยส์ ซัวเรซ

หลังจาก 3 ปีครึ่งที่แสดงผลงานอย่างมีประสิทธิภายในฐานะนักเตะลิเวอร์พูลก่อนถ่ายทอดต่อกับบาร์เซโลนา ซัวเรซน่าจะมีบทบาทสำคัญอีกครั้งหลังทำประตูสำคัญในเลกแรกในจังหวะจัดกาลูกเปิดของจอร์ดี้ อัลบาไป แม้จะเป็นตัวจริงที่อายุมากที่สุดในทีมของเอร์เนสโต้ บัลเบร์เด้ แต่นักเตะวัย 32 ปี ก็แสดงให้เห็นการวิ่งไม่หยุดยั้ง และมีส่วนสำคัญในการเชื่อมเกมรุกของบาร์ซ่า

แน่นอนว่ามันเป็นภารกิจสำคัญสำหรับเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค นักเตะยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2018-19 ของพีเอฟเอ ที่ต้องทำให้แน่ใจว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวซ้ำที่แอนฟิลด์ และต้องรับมือกับการเพรสซิ่งจากซัวเรซในจังหวะที่หงส์แดงพยายามจะครองบอลทำเกมรุก

“เราผิดหวังกับผลการแข่งขันที่ออกมา เพราะว่าผมไม่คิดว่ามันสะท้อนถึงเกมจริงๆ”กองหลังชาวดัตช์กล่าวหลังเกมที่คัมป์ นู “ชัดเจนว่ามันเป็น 3-0 ในตอนนี้ แต่เราแสดงให้เห็นตลอดทั้งฤดูกาลว่าเราไม่มีวันยอมแพ้ ซึ่งเราแค่ต้องเชื่อมั่น เราต้องการทุกคน และเราจะรอดูว่ามันจะเป็นยังไงต่อไป”

เขาทำประตูที่ 6 ในฤดูกาลนี้จากชัยชนะ 3-2 ในเกมเยือนนิวคาสเซิลเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา และหวังว่าจะเป็นทีเด็ดในเกมรุกได้อีกครั้ง โดย 2 จาก 6 ประตูดังกล่าวเกิดขึ้นในเกมยุโรป ทั้งลูกโหม่งในเกมเยือนบาเยิร์น มิวนิก และเอฟซี ปอร์โต้ และอันตรายในลูกตั้งเตะของเขาจะมีความสำคัญอย่างมากในการเจอกับแนวรับของบาร์ซ่าที่เสียไปแค่ 6 ประตูจาก 11 เกมแชมเปียนส์ลีกในฤดูกาลนี้