การที่ลิเวอร์พูล และท็อตแนม ฮอตสเปอร์จะพบกันในแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ ในวันเสาร์นี้ ก่อนจะถึงเกมดังกล่าว เราจะย้อนไปดูเส้นทางของทั้งสองทีมทั้งการคำนวณตัวเลขการผ่านรอบแบ่งกลุ่ม การเอาชนะตัวเต็ง รอบรองสุดดราม่า และความมุ่งมั่นในเกมยุโรป

นี่คือเส้นทางก่อนที่ทั้งสองทีมจะพบกันที่เอสตาดิโอ เมโทรโปลิตาโน่...

รอบแบ่งกลุ่ม

ทั้งสองทีมคู่ชิงชนะเลิศไม่มีใครการันตีตั๋วในรอบน็อกเอาต์ก่อนเกมที่ 6 และเป็นเกมสุดท้ายต้นเดือนธันวาคม และอย่างน้อยทั้งสองทีมก็ทำสำเร็จ

ชัยชนะในแอนฟิลด์เหนือเปแอสเช และเร้ดสตาร์ เบลเกรด ตามมาด้วยความพ่ายแพ้นอกบ้าน 3 นัดรวดทำให้ทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์จำเป็นต้องเอาชนะนาโปลีในเมอร์ซีย์ไซด์ เกมสุดท้าย และเป็นค่ำคืนที่พิเศษเมื่อพวกเขาต้องชนะ 1-0 หรือสกอร์น่า 2 ประตูเพื่อแซงทีมจากเซเรีย อาเข้ารอบเป็นอันดับ 2 ของกลุ่ม ซี

พวกเขาทำได้โดยมีสองเหตุการณ์สำคัญ โดยโมฮาเหม็ด ซาลาห์ทำประตูปลดล็อกให้กับลิเวอร์พูล เมื่อลากทะลุผ่านแนวรับคู่แข่ง และซัดประตูในครึ่งแรก ก่อนที่อลิสสัน เบ็คเกอร์จะช่วยรักษาความได้เปรียบในไม่กี่นาทีสุดท้ายด้วยการหยุดลูกยิงของอาร์คาดิอุสซ์ มิลิคที่หลุดเดี่ยวเข้ามา

ท็อตแนมของเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่มีชะตาคล้ายๆ กันเมื่อเจอกับกลุ่มสุดหินที่มีทั้งบาร์เซโลนา, อินเตอร์ และพีเอสวี หลังจากได้แค่แต้มเดียวจาก 3 นัดแรก ทำให้สเปอร์สเจองานหนัก แม้จะประสบความสำเร็จในชัยชนะต่อเนหื่อที่เวมบลีย์เหนือพีเอสวี และอินเตอร์ แต่พวกเขาต้องผ่านทริปเยือนคัมป์ นูด้วยผลการแข่งขันที่เท่าเทียม หรือดีกว่าที่อินเตอร์เล่นในบ้านกับพีเอสวีในเกมสุดท้ายสุดดราม่า

หลังจากตามหลัง 0-1 ต่อบาร์เซโลนาตั้งแต่ 5 นาทีแรก และอินเตอร์มีแต้มที่จะทำให้พวกเขาขึ้นเป็นอันดับ 2 ทีมของโปเช็ตติโน่ที่มีสถิติเฮด-ทู-เฮดดีกว่า ผ่านเข้ารอบน็อกเอาต์มาได้จากประตูสุดสำคัญของลูคัส มูร่า ที่ตีเสมอ และเข้ารอบจากความต่างของประตูอเวย์โกลที่พวกเขาทำได้ในมิลาน 3 เดือนก่อนหน้านั้น

รอบ 16 ทีมสุดท้าย

ทั้งสองทีมเจอกับทีมจากเยอรมนีในการประกบคู่รอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยหงส์แดงจับเจอกับบาเยิร์น มิวนิก และสเปอร์สพบกับดอร์ทมุนด์

ผลเสมอแบบไร้สกอร์ที่แอนฟิลด์ทำให้บาเยิร์นได้เปรียบลิเวอร์พูลตามความเห็นของหลายๆ คน แต่คล็อปป์ไม่เชื่ออย่างนั้น “เรามีเวลา 3 สัปดาห์ (จนกว่าจะถึงเกมที่สอง) และวันที่ผลการแข่งขันทำให้เรารู้สึกดีขึ้น และแย่สำหรับบาเยิร์น”

ซาดิโอ มาเน่ พลิก และยิงในนาทีที่ 26 ของเกมที่อัลลิอันซ์ อารีนา ก่อนที่การทำเข้าประตูตัวเองของโจเอล มาติป ทำให้เจ้าถิ่นมีความหวัง แต่หงส์แดงอีกสองประตูจากลูกโหม่งของเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค และมาเน่ ในเกมที่เจอร์เก้น คล็อปป์ชื่นชอบลูกทีมว่า ‘เรากลับมาสู่การเป็นทีมระดับแนวหน้าของเกมนานาชาติ เล่นฟุตบอลระดับท็อปคลาส’

ส่วนสเปอร์สทำได้เกินความคาดหมายกับชัยชนะท่วมท้นสกอร์รวม 4-0 เหนือดอร์ทมุนด์ สองประตูท้ายเกมที่เวมบลีย์ตามหลังประตูแรกของซง เฮือง-มิน ทำให้สเปอร์สดูดีมากหลังผ่านครึ่งทาง และลูกยิงของแฮร์รี เคนตัดสินชัยชนะ และยุติรอบนี้ในเยอรมนี 3 สัปดาห์หลังจากนั้น

รอบก่อนรองชนะเลิศ

สถานการณ์แตกต่างออกไปในรอบก่อนรองชนะเลิศ เมื่อลิเวอร์พูลคุมเกมได้ตั้งแต่ต้นจบจบของรอบ ส่วนท็อตแนมมีประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ในการพบกับแมนฯ ซิตี้

หงส์แดงกลับมาเจอกับปอร์โต้คู่แข่งในรอบ 16 ทีมสุดท้ายปีก่อนหน้านี้ และได้เปรียบจาก 2 ประตูแรกในแอนฟิลด์จากนาบี เกอิต้า และโรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ ก่อนที่วีเออาร์จะยืนยันประตูของมาเน่ว่าไม่ได้ล้ำหน้าในเอสตาดิโอ โด ดราเกา ก่อนที่ทีมของคล็อปป์จะได้ประตูเพิ่มจากซาลาห์, เฟอร์มิโน่ และฟาน ไดจ์ค เสียไปเพียงประตูเดียว ทำให้ทีมชนะด้วยสกอร์รวม 6-1 ผ่านเข้าไปเล่นรอบรองชนะเลิศกับบาร์เซโลนา

สเปอร์สเริ่มต้นได้อย่างเยือกเย็นเมื่อเอาชนะซิตี้ในเลกแรกจากประตูโทนของซง เฮือง-มิน แต่มีความโกลาหลอย่างมากในเกมที่สอง เมื่อมี 4 ประตูใน 11 นาทีแรกในบ้านของซิตี้ที่แบ่งกันไป ก่อนที่เจ้าถิ่นจะได้ประตูเพิ่มหลังผ่านครึ่งชั่วโมงในเกมการเตือน

หลังจากนั้นเซร์จิโอ อเกวโร่ทำให้ซิตี้กลับมาได้เปรียบก่อนเข้าสู่หนึ่งชั่วโมงของเกม แต่ลูกที่กระดอนเฟร์นานโด ยอเรนเต้เข้าไปช่วยให้สเปอร์สกลับมานำจากประตูทีมเยือน และเข้ารอบหลังจากประตูท้ายเกมของราฮีม สเตอร์ลิงถูกปฏิเสธจากวีเออาร์

รอบรองชนะเลิศ

ทั้งลิเวอร์พูล และสเปอร์สต่างผ่านเกมที่น่าทึ่ง และมีจุดที่พวกเขาตามหลัง 0-3 ในรอบรองชนะเลิศทั้งกับบาร์เซโลนา และอาแจ็กซ์ตามลำดับ

หลังจากพ่าย 3 ประตูที่คัมป์ นู ทั้งที่หงส์แดงมีฟอร์มการเล่นที่แข็งแกร่ง การยิงชนเสาท้ายเกมของซาลาห์เหมือนจะปิดโอกาสเข้ารอบ รวมถึงเมื่อเขา และเฟอร์มิโน่บาดเจ็บหายไม่ทันเกมใน 6 วันต่อมา แต่ “Never give up,”(อย่ายอมแพ้)บนเสื้อทีเชิ้ตของรายการ คือข้อความที่สะท้อนเกมวันนั้น

ดิว็อค โอริกีทำประตูตั้งแต่ 7 นาทีแรกที่ชี้ให้เห็นว่าปาฏิหาริย์เป็นไปได้ และจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุมรัวสองประตูในครึ่งหลังที่ลงมาเป็นตัวสำรอง เป็นตัวกระตุ้นค่ำคืนประวัติศาสตร์ในเกมยุโรปที่ดีที่สุดของสโมสร และจังหวะที่ผู้จัดการทีมให้นิยามว่า ‘อัจฉริยะ’ สำหรับการเปิดเร็วของเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ให้โอริกียิงเข้าไป ช่วยให้หงส์แดงตีตั๋วเข้าชิงแชมเปียนส์ลีกปีที่สองติดต่อกัน

หลังจากนั้นเพียงคืนเดียวมีอีกหนึ่งดราม่า เมื่ออาแจ็กซ์ที่ได้เปรียบจากชัยชนะ 1-0 ในลอนดอน ขึ้นนำ 2-0 ในเกมที่อัมสเตอร์ดัม แต่ทีมของโปเช็ตติโน่ไม่ยอมแพ้ เหมือนกับไวจ์นัลดุมทำให้กับหงส์แดง เมื่อมูร่าทำ 2 ประตูอย่างรวดเร็วช่วงต้นครึ่งหลังพลิกโมเมนตัม และทำให้ทีมเยือนต้องการเพียงประตูเดียวสู่นัดชิงชนะเลิศ

และในการทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 6 ที่การคัมแบ็กดูไม่น่าจะเกิดขึ้น เป็นมูร่าอีกครั้งที่สอดมายิงเลียดเสียบมุมประตู และเป็นอีกหนึ่งการพลิกสถานการณ์ในแชมเปียนส์ลีกที่สุดตื่นเต้น