ลิเวอร์พูลจะเผชิญหน้ากับท็อตแนม ฮอตสเปอร์คู่แข่งร่วมพรีเมียร์ลีก ในเกมชิงถ้วยแชมเปียนส์ลีก ในวันเสาร์นี้ โดยหงส์แดงกำลังลุ้นแชมป์สมัยที่ 6 ขณะที่สเปอร์สเข้ามาถึงรอบชิงรายการของยูฟ่าเป็นครั้งแรก และทำให้อังกฤษมี 8 สโมสรที่มาถึงรอบนี้มากกว่าชาติใดๆ

แม้ว่าถ้วยใบใหญ่สุดของฟุตบอลสโมสรยุโรปจะอยู่ที่อังกฤษอย่างแน่นอน แต่มันจะเดินทางไปที่ลิเวอร์พูลหรือลอนดอน? โดมินิก เรย์เนอร์จากเว็บไซต์อย่างเป็นทางการของสโมสรได้เลือก 3 หัวใจสำคัญที่จะตัดสินเกมชิงชนะเลิศ ประจำปี 2019 ในกรุงมาดริดเป็นดังนี้...

แยน แฟร์ตองเก้น v โมฮาเหม็ด ซาลาห์

ซาลาห์เตรียมลงเล่นนัดชิงด้วยความมั่นใจเต็มเปี่ยม จากการคว้ารางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีก แต่นั่นอาจจะไม่สำคัญเท่ากับเป้าหมายที่การชูถ้วยใบนี้ หลังจากเคยได้รับบาดเจ็บจนได้ลงเล่นแค่ครึ่งชั่วโมง ในเกมกับเรอัล มาดริด เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งไม่สงสัยว่านั่นจะเป็นแรงกระตุ้นพิเศษสำหรับเกมนัดนี้

กองหน้าทีมชาติอียิปต์กำลังขึ้นมาอยู่ในฟอร์มสุดยอดเช่นกัน เขาทำไป 5 ประตูจาก 7 เกมหลังสุด รวมเป็น 26 ประตูในฤดูกาลนี้ และไม่เพียงแต่ทำประตูได้ แต่ยังเป็นประตูสำคัญๆ โดย 10 ประตูในฤดูกาลนี้เป็นประตูชัย หรือประตูขึ้นนำตลอดทุกรายการ ขณะที่ลิเวอร์พูลชนะทั้ง 21 เกมที่เขาทำประตูได้

สายตาทุกคู่จับตามองไปที่แยน แฟร์ตองเก้น กองหลังวัย 32 ปี ที่ต้องพยายามหยุดยั้งซาลาห์ หลังจากเขาช่วยให้ทีมชาติเบลเยียมผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลกในช่วงซัมเมอร์ปีที่แล้ว และเขาไม่ใช่ผู้เล่นประเภทที่จะเขินอายต่อความท้าทาย

โดยเฉพาะในรอบรองชนะเลิศที่กลับมาแซงชนะอาแจ็กซ์ เขาใส่หน้ากาก หลังได้รับบาดเจ็บที่ศรีษะจากเลกแรก และยังลงเล่นจนจบเกมทั้งที่มีการบาดเจ็บข้อเท้า ก่อนออกจากสนามด้วยไม้ค้ำ และเฝือกป้องกันข้อเท้า

เจ้าของเสื้อเบอร์ 5 ยืนยันว่าตัวของเขาเองฟิต และอยู่ในสภาพ ‘ดีสุดๆ’ ก่อนเกมนัดชิงชนะเลิศในวันเสาร์นี้กับลิเวอร์พูล ซึ่งโดยปกติเขาจะเป็นเซ็นเตอร์แบ็กทางฝั่งซ้าย และยังเล่นแบ็กซ้าย หรือแม้แต่วิงแบ็กซ้ายได้ด้วย อย่างเกมที่ท็อตแนมเอาชนะดอร์ทมุนด์ 3-0 ในแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย

คริสเตียน อีริคเซ่น v ฟาบินโญ่

ฟาบินโญ่กองกลางชาวบราซิลเป็นตัวจริงแค่เกมเดียวในรอบแบ่งกลุ่ม ในขณะที่เขาต้องการเวลาปรับตัวตั้งแต่ย้ายจากโมนาโกมานช่วงซัมเมอร์ แต่หลังจากนั้นเขาลงเล่นแทบทุกนาที ขาดไปแค่ 13 นาทีของรอบน็อกเอาต์ในรายการนี้ และแสดงให้เห็นว่าเป็นตัวจักรสำคัญแค่ไหนในทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์

วีที่เขาหยุดยั้งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของโลก 5 สมัยอย่างลิโอเนล เมสซี ระหว่างเกมที่หงส์แดงถล่มบาร์เซโลนา4-0 ในรอบรองชนะเลิศ เลกที่สองในแอนฟิลด์ กองกลางตัวรับรายนี้ทำได้อย่างเหนือชั้น และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญต่อทีม

นักเตะวัย 25 ปีหยุดเมสซีตั้งแต่นาทีแรกจนนาทีสุดท้าย แม้ว่าจะได้รับใบเหลืองตั้งแต่ต้นเกมในการเข้าสกัดหลุยส์ ซัวเรซ และทั้งเกมเข้าจำกัดโอกาสสัมผัสบอลของหัวหอกบาร์ซ่าเหลือเพียง 64 ครั้ง มากกว่าเขาเพียงครั้งเดียว

ความดุดันในการเข้าบอลเมื่อเมสซีได้บอล เขาช่วยแย่งบอลคืนที่แอนฟิลด์ได้ 11 ครั้ง และยังจ่ายบอลไว้ใจได้ในอัตรา 89.6 เปอร์เซ็นต์ อีกด้วย เจ้าของเสื้อเบอร์ 3 น่าจะรับหน้าที่สำคัญในการหยุด คริสเตียน อีริคเซ่น เพลย์เมเกอร์ของท็อตแนมในค่ำคืนวันเสาร์นี้ และถ้าเขาเล่นได้อย่างมีคุณภาพเหมือนกับในรอบรอง เขาน่าจะมีบทบาทสำคัญช่วยให้ลิเวอร์พูลได้เปรียบ

กองกลางทีมชาติเดนมาร์กเป็นหนึ่งในนักเตะสเปอร์สที่โชว์ฟอร์มได้ดีที่สุดระหว่างฤดูกาล 2018-19 และเขามีความสำคัญอย่างมากโดยเฉพาะในแชมเปียนส์ลีก โดยเฉพาะการทำประตูสำคัญในชัยชนะ 1-0 เหนืออินเตอร์ ที่ทำให้พวกเขามีความหวังในรอบแบ่งกลุ่ม และยังทำ 2 แอสซิสต์ให้ซง เฮือง-มิน ยิงผ่านแมนฯ ซิตี้ ผ่านรอบก่อนรองชนะเลิศมาได้ด้วยกฎประตูทีมเยือน

บ่อยครั้งที่เขาขึ้นมาเล่นเป็นกองกลางตัวรุกให้ทีมของเมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ และช่วยแบ่งเบาภาระในการทำไป 10 ประตูให้ทีมในฤดูกาลนี้ แต่รวมกับ 17 แอสซิสต์เป็นตัวเลขที่น่าประทับใจเป็นพิเศษ ถ้าฟาบินโญ่ลบล้างมันได้ มันจะเป็นเรื่องยากที่สเปอร์สจะทำเกมรุก

แฮร์รี เคน v เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค

เวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค เซ็นเตอร์แบ็กลิเวอร์พูลมีส่วนสำคัญอย่างมากที่ช่วยให้หงส์แดงเก็บคลีนชีตได้อย่างน่าเหลือเชื่อ 21 ครั้งในฤดูกาลนี้ และเป็นหัวใจสำคัญในการหยุดบาร์ซ่าที่มีทั้งเมสซี และซัวเรซ ในเกมชนะ4-0 ในเลกที่สองที่แอนฟิลด์ และยังคว้ารางวัลนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา จนได้รับการยอมรับว่าในวงกว้างในฐานะหนึ่งในกองหลังที่ดีที่สุดในโลก

ความยอดเยี่ยมในการเล่นลูกกลางอากาศ ความเยือกเย็นในการเข้าสกัด และมั่นใจในการครองบอล ฟาน ไดจ์ค เจอกับท็อตแนม 3 ครั้ง ตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลในฤดูกาลที่แล้ว และไม่เคยแพ้ โดยชนะ 2 และเสมอ 1 ซึ่งเขาได้รับมือกับแฮร์รี เคน กองหน้าตัวเก่ง และดาวยิงของท็อตแนมทั้ง 3 เกมในพรีเมียร์ลีก และเสียไปเพียงประตูเดียวจากลูกจุดโทษ

พูดได้เช่นกันว่าสถิติการทำประตูของเคนโดยรวมเป็นปรากฏการณ์ และโดยเฉพาะในแชมเปียนส์ลีกที่นักเตะชาวอังกฤษทำไป 14 ประตูจาก 18 เกม ทำให้เขามีอัตราการทำประตู 0.78 ประตูต่อเกมในรายการนี้ และยังทำประตูในเกมสำคัญอย่างการเจอกับบาร์เซโลนา และยูเวนตุส ที่ทำให้นักเตะวัย 25 ปี ทำประตูถึงเลขดังกล่าวได้รวดเร็วกว่าเมสซี และคริสเตียโน่ โรนัลโด้

ดาวซัลโวท็อตแนมทำประตูผ่าน 5 ฤดูกาลหลังจากยิงไป 31 ประตูในฤดูกาล 2014-15 ที่เขาก้าวขึ้นมา ที่ทำให้เป็นตัวเลือกแรกในทีมของโปเช็ตติโน่เมื่อฟิต เขาต้องต่อสู้กับการบาดเจ็บเอ็นข้อเท้าที่ได้รับในเกมกับแมนฯ ซิตี้วันที่ 9 เม.ย. แต่กลับมาฝึกซ้อม และคาดว่าจะได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศ ไม่ว่าจะเป็นตัวจริง หรือตัวสำรอง การต่อสู้ของเขากับฟาน ไดจ์ค คาดว่าจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่น่าจับตามอง