Match Report: ลิเวอร์พูลบุกเฉือนเชลซีที่สแตมฟอร์ด บริดจ์
ลิเวอร์พูลทำสถิติชนะรวด 6 เกม นับตั้งแต่เปิดฤดูกาลพรีเมียร์ลีก หลังบุกไปคว้า 3 แต้มเหนือเชลซีที่สแตมฟอร์ด บริดจ์
รายชื่อนักเตะ
11 ตัวจริง: อาเดรียน, อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, มาติป, ฟาน ไดจ์ค, โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่, ไวจ์นัลดุม, เฮนเดอร์สัน ©, มาเน่, ซาลาห์ และเฟอร์มิโน่
สำรอง: เคลเลเฮอร์, มิลเนอร์, โกเมซ, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ลัลลานา, ชากิรี และบริวสเตอร์
อัพเดตทีม: คล็อปป์เปลี่ยนแปลงทีมเพียงหนึ่งตำแหน่งจากเกมเยือนนาโปลี โดยส่งไวจ์นัลดุมลงมาแทนมิลเนอร์ และใส่ชื่อของบริวสเตอร์ในม้านั่งสำรอง
จังหวะสำคัญในเกม
- นาที 14 เทรนต์ยิงเข้าไปให้ลิเวอร์พูลนำ 0-1
- นาที 30 เฟอร์มิโน่โหม่งให้ลิเวอร์พูลนำ 0-2
- นาที 71 ก็องเต้ยิงให้เชลซีตามมา 1-2
เกมในครึ่งแรก
ลิเวอร์พูลลงเล่นเกมที่ 6 ของพรีเมียร์ลีกด้วยการไปเยือนเชลซีที่สแตมฟอร์ด บริดจ์
ในช่วงต้นเกม ทั้งสองทีมเปิดเข้าแลก แต่นาที 11 เชลซีทำได้ใกล้เคียงก่อน จากจังหวะโต้กลับ แต่ฟาน ไดจ์ค เข้าเบียดจังหวะเข้าฮอร์สของอับบราฮัมไว้ได้พอดี และในนาที 13 ลิเวอร์พูลมาได้ฟรีคิกจากจังหวะที่มาเน่ถูกคริสเตนเซ่นทำฟาวล์ ทำให้ทีมเยือนได้ลุ้นประตู
และจากการเขี่ยเปลี่ยนจุดของซาลาห์ เทรนต์เข้ายิงเสียบเสาเข้าไปให้ทีมลิเวอร์พูลนำ 1-0 ในนาที 14
เมื่อต้องเป็นฝ่ายตาม เชลซีโหมขึ้นบุก และจากจังหวะแทงบอลขึ้นหน้าแล้วหลุดเดี่ยวทำให้อาเดรียนได้โชว์การป้องกันประตู ในนาที 24 เมื่อเซฟจังหวะหลุดเดี่ยวของอับบราฮัมไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม
แต่ในนาที 27 อาร์เตต้ายิงตีเสมอให้เชลซี 1-1 แต่กรรมการเช็ค VAR และให้เป็นจังหวะล้ำหน้าไปก่อน
ลิเวอร์พูลมาได้ฟรีคิกอีกครั้งในนาที 30 และเป็นเฟอร์มิโน่ขึ้นโขกเข้าไปอย่างสวยงาม ให้ทีมลิเวอร์พูลนำ 2-0
อีก 8 นาทีต่อมา เทรนต์วางบอลยาวให้ซาลาห์ก่อนได้โอกาสล็อกหลบ และยิง แต่ถูกโทโมริบล็อกบอลลอยออกหลัง ลิเวอร์พูลได้เตะมุม แต่ต้องรอดูอาการบาดเจ็บของคริสเตนเซ่น
ก่อนกมด 45 นาที อับบราฮัมได้ขึ้นโหม่งแต่โดนมาติปขึ้นเบียดจึงไม่เข้ากรอบ กรรมการทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก 3 นาที แต่ในนาที 45+1 อาเดรียนพยายามตะครุบลูกเปิดทั่บกระฉอกไว้ได้อย่างหวุดหวิด เชลซีพยายามเร่มเกม ก็องเต้เบียดกับฟาน ไดจ์ค ก่อนที่กรรมการจะให้เป็นลูกตั้งเตะจากประตูลิเวอร์พูล และนั่นเป็นจังหวะสุดท้ายจากครึ่งแรก
เกมในครึ่งหลัง
ทันทีที่เริ่มครึ่งหลัง เกป้าโชว์ซูเปอร์เซฟในนาที 47 โดยปัดจังหวะแปของเฟอร์มิโน่ รวมทั้งในจังหวะต่อมาเน่ก็มีโอกาสแต่ยังทำประตูเพิ่มไม่ได้
เทรนต์ได้รับใบเหลือองในนาที 57 จากการถ่วงเวลาทุ่มช้า
เพียงหนึ่งนาทีก่อนเกมดำเนินครบหนึ่งชั่วโมง เชลซีได้เตะมุม หลังทำบอลบุกขึ้นมา แล้วอับบราฮัมเบียดกับมาติป บอลออกหลัง และในวินาทีต่อมาก็องเต้ได้ยิงไกลลนอกกรอบ แต่บอลเฉี่ยวเสาไปอย่างหวุดหวิด
ก็องเต้ปลุกความหวังให้เชลซีตามมาที่ 1-2 หลังได้บอลในกรอบและยิงเสียบเสาเข้าไป ในนาที 71 จากนั้นคล็อปป์ส่งมิลเนอร์ลงมาแทนมาเน่ในนาที 72
มาติปตัดบอลจากวิลเลียนในนาที 80 เชลซีได้ฟรีคิกเพื่อลุ้นประตูตีเสมอ อลอนโซ่วิ่งสอดขึ้นไปโหม่ง แต่อาเดรียนปัดไว้ได้ก่อนกรรมการให้เป็นจังหวะล้ำหน้าของเชลซี
ลัลลานาลงมาแทนเฮนเดอร์สันในนาที 84
มิลเนอร์ทำฟาวล์ในนาที 86 แต่ฟรีคิกของเชลซีที่โยนเข้ามายังติดมาติป จากนั้นในนาที 88 บัตซูอายี่ ได้โหม่งโล่งๆ แต่สะบัดไม่เข้ากรอบ และเชลซีโหมบุกหนักในช่วงท้ายเกม และในนาที 90 เมาท์ได้ยิงในกรอบ แต่ตวัดไม่เข้ากรอบ
กรรมการทดเวลาบดเจ็บครึ่งหลัง 4 นาที และในนาที 90+1 จอร์จินโญ่ได้ยิงแต่ไม่เข้ากรอบ
คล็อปป์ส่งโกเมซมาแทนซาลาห์ในนาที 90+2
ลิเวอร์พูลเล่นเกมรับแต่เตรียมโต้กลับหลังได้บอลแต่ถูกอลอนโซ่สกัดก่อนที่เฟอร์มิโน่จะได้บอลหลุดเดี่ยว แต่หลังจากนั้นเชลซีก็ไม่สามารถตีเสมอได้ ลิเวอร์พูลจึงเก็บ 3 แต้มกลับแอนฟิลด์ พร้อมสถิติชนะรวด 6 นัดนับตั้งแต่เปิดฤดูกาล