ลิเวอร์พูลยังคงทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม หลังเปิดแอนฟิลด์เอาชนะแมนฯ ซิตี้ ไปด้วยสกอร์ 3-1 ที่แอนฟิลด์

รายชื่อนักเตะ

11 ตัวจริง: อลิสสัน, อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, ลอฟเรน, ฟาน ไดจ์ค, โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่, ไวจ์นัลดุม, เฮนเดอร์สัน ©,  มาเน่, ซาลาห์ และเฟอร์มิโน่

สำรอง: อาเดรียน, มิลเนอร์, เกอิต้า, โกเมซ, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, ลัลลานา และโอริกี    

อัพเดตทีม:  คล็อปป์เปลี่ยนแปลงทีม  5 ตำแหน่งจากเกมแชมเปียนส์ลีกเมื่อกลางสัปดาห์  โดยลอฟเรน และโรเบิร์ตสัน กลับมาเป็นตัวจริงในแผงหลัง และเฮนเดอร์สันกลับมาทำหน้าที่ในตำแหน่งมิดฟิลด์ นอกจากนี้เฟอร์มิโน่ และมาเน่ก็กลับมาประจำการในตำแหน่งกองหน้าเช่นกัน


จังหวะสำคัญในเกม

  • นาที  6 ฟาบินโญ่ยิงให้ลิเวอร์พูลนำ 1-0
  • นาที 13 ซาลาห์โหม่งให้ลิเวอร์พูลนำ 2-0
  • นาที 51 มาเน่โหม่งให้ลิเวอร์พูลนำ 3-0
  • นาที 78 แบร์นาโด ยิงให้แมนฯ ซิตี้ ตามมา 3-1

เกมในครึ่งแรก

เกมที่ 12 ของลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก เป็นการรับการมาเยือนของแมนฯ ซิตี้

เพียงสองนาที ทีมเยือนได้เตะมุมครั้งแรก แต่ไม่มีจังหวะในการทำสกอร์ และพยายามบุกกดดันอย่างหนัก แต่ถึงอย่างนั้น กลับเป็นลิเวอร์พูลที่ขึ้นนำได้ก่อนในนาที 6 จากจังหวะยิงไกลของฟาบินโย่ที่พุ่งเสียบตุงตาข่ายอย่างสวยงาม

แต่ซิตี้ก็พยายามทวงประตูคืนให้ได้ โดยในนาที 12 ฟาบินโญ่เสียฟาวล์ ซิตี้ได้ฟรีคิก แต่จังหวะเข้าชาร์จของซิตี้นั้นเลยไปหมด

และในจังหวะโต้กลับของลิเวอร์พูลนำมาซึ่งประตูที่ 2 ในเกม เมื่อโรเบิร์ตสันโยนบอลจากซ้ายมาเข้าหัวซาลาห์ที่โหม่งย้อนตามสัญชาตญาณเข้าไปให้ลิเวอร์พูลนำ 2-0 ในนาที 13

ลิเวอร์พูลทำเกมขึ้นมาได้อย่างน่าสนใจระหว่างมาเน่ และไวจ์นัลดุม แต่น่าเสียดายที่จังหวะเปิดในนาที 22 ถูกสกัดไว้ก่อน

อเกวโร่ได้ยิงในนาที 25 แต่อลิสสันล้มตัวปัดไว้ได้ แต่ซิตี้ก็พยายามเติมเกมรุกกดดัน และในนาที 30 แองเจลิโนของ ซิตี้มีโอกาสได้ยิงแต่ไม่เต็มข้อ บอลค่อยๆ กลิ้งชนโคนเสาออกไป

ซิตี้ได้เตะมุมในนาที 35 แต่อลิสสันออกมารับไว้ได้ และเปิดเกมเร็วทันที และเฟอร์มิโน่ได้เกี่ยวหนี ก่อนยิงแต่บอลโด่งข้ามคาน จากนั้นในนาที 38 เฟอร์มิโน่ได้ยิงอีกครั้ง หลังได้บอลจากเทรนต์ที่พาขึ้นมา แต่บราโว่ล้มบล็อกไว้ได้

ในช่วงท้ายครึ่งแรก วอล์คเกอร์ได้ลองยิงไกลในนาที 39 แต่บอลไม่เข้ากรอบ

ซาลาห์ควบบอลขึ้นทางกราบซ้ายแต่ถูกสกัด ก่อนล้มลงไปเจ็บ จากนั้น นาที 43 อเกวโร่ได้ยิง แต่ไม่เข้ากรอบ

จากจังหวะเปิดในนาที 40+6 ของเฟอร์มิโน่ แต่บราโว่โผเซฟลูกยิงของซาลาห์ไว้ได้อย่างเหลือเชื่อ กรรมการทดเวลาบาดเจ็บครึ่งแรก 2 นาที

ก่อนหมดครึ่งแรกไม่กี่วินาที อเกวโร่ได้ยิงในกรอบ แต่อลิสสันตะคุบบอลไว้ได้ และนี่ก็เป็นจังหวะสุดท้ายของเกมในครึ่งแรก

เกมในครึ่งหลัง

ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงตัวเมื่อเริ่มครึ่งหลัง และซิตี้ได้โอกาสเตะมุม แต่ยังไม่มีจังหวะจะแจ้งที่จะทำประตูตีตื้น แต่เป็นลิเวอร์พูลที่ได้ประตูนำอีกครั้งเป็น 3-0 ในนาที 51 จากจังหวะเปิดของเฮนเดอร์สันที่โยนเข้ากลาง มาถึงมาเน่ที่เสาไกลเข้าพุ่งโหม่งผ่านมือบราโว่

ในนาทีต่อมา ลอฟเรนต้องสกัดจังหวะยิงของสเตอร์ลิงไว้ได้อย่างหวุดหวิด

เมื่อเกมผ่านไป 1 ชั่วโมง คล็อปป์ส่งมิลเนอร์ลงมาแทนเฮนเดอร์สัน

จากจังหวะบอลในนาที 63 ฟาบินโญ่ได้จับบอลและตั้งป้อมยิง แต่น่าเสียดายที่ติดบล็อก

อเกวโร่เกือบได้โอกาสทำประตูในนาที 68 แต่เข้ามาชาร์จไม่ทัน 

เกมหยุดชั่วคราวในนาที 71 เมื่อมาเน่ปะทะกับสเตอร์ลิง และในช่วงนาที 77 ลิเวอร์พูลต้องตั้งรับอย่างหนัก และในนาที 78 แบร์นาโด ซิลบา ยิงให้ซิตี้ตามมา 3-1

คล็อปป์ส่งอ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน มาแทนเฟอร์มิโน่ และในนาที 80 อลิสสันต้องออกมาเซฟในจังหวะเฆซุสกำลังจะได้ทำประตู

วอร์คเกอร์ขึ้นมาโหนโหม่งในนาที 86 แต่บอลโด่งออกไป หลังจากนั้นคล็อปป์ส่งโกเมซมาแทนซาลาห์

ก่อนหมด 90 นาที ซิตี้ได้ฟรีคิก เฆซุส ได้โหม่ง แต่เหินข้ามคาน และกรรมการเป่าเป็นจังหวะล้ำหน้าไปแล้ว ก่อนที่กรรมการจะทดเวลาครึ่งหลัง 4 นาที

ซิตี้ยังได้เตะมุมอีกครั้งในนาที 90+2 แต่ฟานไดจ์ค ยังโหม่งสกัดลูกเปิดของซิลบาไว้ได้ แต่ในนาที 90+3 มาเน่เสียฟาวล์ให้เดอ บรอยน์ อีกครั้ง แต่ในจังหวะต่อมา สเตอร์ลิงเข้าบวกฟาน ไดจ์ค และนั่นเป็นจังหวะสุดท้ายในเกมวันนี้ ลิเวอร์พูลคว้าสามแต้มเต็มได้สำเร็จ