ประวัติศาสตร์ลิเวอร์พูลกับบัลลงดอร์

ผู้ชนะคนแรกที่มีสายสัมพันธ์ที่เหนียวแน่นกับแอนฟิลด์คือเควิน คีแกน แม้ว่านักเตะอังกฤษจะเล่นให้กับฮัมบูร์กที่เขาได้รางวัลนี้ทั้งในปี 1978-79 แต่เขาเป็นหนี้พัฒนาการในการเล่นกับลิเวอร์พูล และโดยเฉพาะกับบิลล์ แชงคลีที่เซ็นสัญญาคว้าเขามาจากสคันธอร์ป ยูไนเต็ด ในฐานะเด็กฝึกหัดในปี 1971 และกลายเป็นหนึ่งในกองหน้าที่น่ากลัวที่สุดในทวีป

ผ่านไปสี่ปีก่อนที่นักเตะหงส์แดงจะขึ้นไปอยู่บนโพเดียมเป็นครั้งแรก เคนนี ดัลกลิช จบด้วยอันดับสองรองจากมิเชล พลาตินี่ หลังจากทำไป 20 ประตูในทุกรายการในทีมของบ็อบ เพสลีย์ที่คว้าแชมป์ทั้งดิวิชั่น 1 และลีก คัพ ในปีสุดท้ายของเขาในฐานะผู้จัดการทีม

และเป็นโอเว่นที่เป็นหัวใจสำคัญในฤดูกาลที่เต็มไปด้วยถ้วยรางวัล ด้วยการคว้าทริปเปิลแชมป์ในปี 2001 บวกกับแฮตทริกแห่งความทรงจำให้ทีมชาติอังกฤษในเยอรมนีที่ช่วยให้เขาคว้ารางวัลนี้ ศูนย์หน้ารายนี้ทำไป 24 ประตูในทีมแห่งความทรงจำของเชราร์ อุลลิเยร์ รวมถึงสองประตูใน 5 นาทีที่ทำให้พวกเขาพลิกแซงอาร์เซนอลในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ที่มิลเลนเนียม สเตดียม

สตีเวน เจอร์ราร์ดได้อันดับ 3 ในปี 2005 หลังจากเป็นกำลังสำคัญในการกระตุ้นทีมกลับมาสร้างความมหัศจรรย์ที่อิสตันบูล ก่อนที่ตอร์เรสจะโชคร้ายแบบเดียวกันในฤดูกาลที่เขาแสดงประสิทธิภาพสูงสุดในอาชีพ กับ 33 ประตูในทุกรายการ ตามหลังลิโอเนล เมสซี และคริสเตียโน่ โรนัลโด้ที่ครองโลกในปี 2008

แต่กับการที่ 7 นักเตะในทีมชุดปัจจุบันของเจอร์เก้น คล็อปป์ที่มีชื่ออยู่ใน 30 คนสุดท้าย ทำให้มีโอกาสมากกว่าหนึ่งสำหรับนกัเตะที่แอนฟิลด์ที่จะติด 1 ใน 3 ที่เป็นตำแหน่งที่สูงที่สุดเวลานี้

เวอร์จิล ฟาน  ไดจ์ค ได้รับการยอมรับในวงกว้างกับการช่วยให้ทีมเก็บ 26 คลีนชีตในทุกรายการของฤดูกาลที่แล้ว ขณะที่การผ่านบอลยาว และการสอดเข้าไปในเขตโทษของเซนเตอร์แบ็กรายนี้ เขายังช่วยให้ทีมทำ 6 ประตู และ 4 แอสซิสต์

เขาคว้ารองแชมป์ยูฟา เนชันส์ ลีก ร่วมกับทีมชาติฮอลแลนด์ในเดือนมิถุนายน เจ้าของเสื้อเบอร์ 4 ยังคว้ารางวัลอันทรงเกียรติอย่างนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ และนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยูฟาในปี 2019

อลิสสัน เบ็คเกอร์ ยังโชว์ฟอร์มได้อย่างน่าทึ่งเช่นกัน เขาเก็บ 9 คลีนชีตให้กับสโมสร และทีมชาติในช่วง 2 เดือนสำคัญท้ายฤดูกาลของพรีเมียร์ลีก แชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ และลงสนามทุกเกมที่บราซิลคว้าแชมป์โกปา อเมริกา

เขาคว้ารางวัลถุงมือทองคำทั้ง 3 รายการ เจ้าของเสื้อเบอร์ 1 หงส์แดงกำลังก้าวไปไกลกว่าจุดที่ผู้รักษาประตูทำได้มานาน

เลฟ ยาชิน ตำนานทีมชาติรัสเซียเป็นผู้รักษาประตูเพียงคนเดียวที่เคยคว้ารางวัลบัลลงดอร์ตั้งแต่มันก่อตั้งมาในปี 1956 โดยดิโน่ ซอฟฟ์, โอลิเวอร์ คาห์น, จานลุยจิ บุฟฟ่อน และมานูเอล นอยเออร์ ที่เป็นนักเตะเอาท์ฟิลด์ที่ได้ขึ้นบนโพเดียมจนถึงตอนนี้

เจ้าของรางวัลรองเท้าทองคำของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาล 2018-19 ที่ทำไปคนละ 22 ประตู โดยรวมแล้วเป็น 53 ประตูในทุกรายการในเวลาเดียวกันของโมฮาเหม็ด ซาลาห์ และซาดิโอ มาเน่ที่พวกเขาช่วยทำให้กับลิเวอร์พูลในฤดูกาลที่แล้ว ทำให้ทั้งคู่ได้รับการพิจารณา

จากลูกยิงเหนือชั้นของซาลาห์ในชัยชนะ 2-0 เหนือเชลซี และการยิงจุดโทษอย่างเยือกเย็นในแชมเปียนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศ มาเน่ก็ชิพอย่างเหนือชั้นผ่านนอยเออร์ในชัยชนะ 3-1 ในเกมเยือนบาเยิร์น มิวนิก ระหว่างเส้นทางสู่มาดริด ทั้งสองคนยังเป็นหัวใจสำคัญของช่วงเวลาแห่งความทรงจำในทีมของคล็อปป์ตลอดทั้งฤดูกาลที่แล้ว

ขณะเดียวกันโรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ที่ร่วมทีมกับอลิสสันทั้งคว้าแชมป์ยูฟา แชมเปียนส์ลีก/โกปา อเมริกา และยังโชว์ฟอร์มแบบไม่มีใครเลียนแบบ ทั้งการทำประตู, แอสซิสต์, การดีดบอล, กระดกบอล พร้อมกับรอยยิ้ม การฉลองประตู และการวิ่งไปไกลยิ่งกว่าฟอร์เรสต์ กัมพ์

เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สร้างสถิติพรีเมียร์ลีกสำหรับแอสซิสต์ของกองหลังในฤดูกาลเดียว และเป็นตัวจริงในยูโรเปียน คัพ นัดชิงชนะเลิศ 2 ปีติดต่อกันก่อนที่เขาจะอายุ 21 ปี ในขณะที่ดาวเตะสเก๊าเซอร์ยังคงพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

และจอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุมกลายเป็นหนึ่งในกองกลางแถวหน้าของทวีป จากอิทธิพลที่แสดงออกมาอย่างต่อเนื่องทั้งในสโมสร และทีมชาติ และอย่างน้อยต้องไม่ลืม 2 ประตูในฐานะตัวสำรองในเกมที่ลิเวอร์พูลเอาชนะบาร์เซโลนา 4-0

“ถ้าคุณให้บัลลงดอร์กับนักเตะที่ดีที่สุดในรุ่นนี้ คุณต้องยกมันให้กับลิโอเนล เมสซี ตลอดเวลา มันเป็นอย่างนั้น”คล็อปป์กล่าว “แต่ถ้าคุณให้มันกับนักเตะที่ดีที่สุดในฤดูกาลที่แล้ว มันต้องเป็นของเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค ผมไม่รู้ชัดเจนว่ามันจะออกมาอย่างไร แต่มันเป็นอย่างนั้น”

“นักเตะที่ดีที่สุด? นั่นคือเมสซี่ นักเตะที่ดีที่สุดในฤดูกาลที่แล้ว? นั่นคือเวอร์จิล เราจะรอดู”

การรอคอยใกล้จะสิ้นสุดแล้ว