การพบกันระหว่างลิเวอร์พูล และอินเตอร์ มิลาน ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ

แต่ถ้าพวกเขามันออกมารูปแบบเดียวกันกับในอดีต หงส์แดงมักจะพบกับทีมงูใหญ่ในช่วงจุดสูงสุดทางประวัติศษสตร์มากกว่าขาลง ในบางครั้งอินเตอร์เกือบจะพูดได้ว่าเป็นทีมที่ดีที่สุดในอิตาลี และเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่ในยุโรปอีกด้วย

ในปี 1965 ที่บิลล์ แชงคลีย์ ตำนานลิเวอร์พูลแพ้แบบน่ากังขาในยูโรเปียน คัพ รอบรองชนะเลิศด้วยสกอร์รวม 3-4 โดยทีม ‘แกรนเด้ อินเตอร์’ ของเฮเลนิโอ เอร์เรรา ทีมจากมิลานเป็นแชมป์ยุโรป และอินเตอร์คอนติเนนตัล และไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาคว้าแชมป์ยูโรเปียน คัพสมัยที่สองติดต่อกัน และแชมป์เซเรีย อาเป็นเวลาต่อมา

หงส์แดงได้โอกาสล้างแค้นจากที่รอคอยมานาน(สำหรับแฟนบอลที่แก่พอที่จะจำได้)ด้วยสกอร์รวม 3-0 ในแชมเปียนส์ลีกรอบ 16 ทีมสุดท้ายของปี 2008 ตอนที่อินเตอร์อยู่ระหว่างกลางของการคว้าแชมป์ลีก 5 สมัยติดต่อกัน และถ้าวไปชูถ้วยยูโรเปียน คัพ สมัยที่ 3 สองปีหลังจากนั้นในกรุงมาดริด กลายเป็นทีมแรกจากเซเรีย อาที่คว้าทริปเปิลแชมป์เซเรีย อา/โคปปา อิตาเลีย/แชมเปียนส์ลีก

และตอนนี้ก่อนที่จะพบกับลิเวอร์พูลเป็นครั้งที่สามเริ่มในวันพุธนี้?  นี่เป็นครั้งแรกต้งแต่การคว้า ‘ทริเปตต้า’ ภายใต้การคุมทีมของโจเซ่ มูรินโญ่ ในปี 2010 ตราแชมป์สคูเด็ตโต้กลับมาอีกครั้งในอกเสื้อสีน้ำเงิน-ดำของอินเตอร์ หลังจากเอาชนะ 16 จาก 19 เกมในบ้านติดต่อกันจนคว้าแชมป์เซเรีย อา ด้วยแต้มห่างสบายๆ 12 แต้ม

เป็นการยุติการรอคอยเกมน็อกเอาท์ในแชมเปียนส์ลีกอันยาวนานกว่าทศวรรษที่ซิโมเน่ อินซากี้โค้ชคนปัจจุบันทำได้หลังจากเขารับงานคุมทีมในช่วงซัมเมอร์ และเอาชนะความท้าทายของเชอรีฟฟ์ในการแย่งอันดับที่สองตามหลังเรอัล มาดริดในกลุ่ม ดี

“ในวันที่ผมเซ็นสัญญา ผมเคยพูดว่านี่คือเป้าหมายหลัก” อินซากี้อดีตศูนย์หน้าลาซิโอ และน้องชายของฟิลิปโป้ตำนานเอซี มิลานให้ความเห็นหลังชัยชนะเหนือชัคห์ตาร์ โดเน็ตส์ค 2-0 การันตีการเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย “เราต้องการชัยชนะเกมนี้มาก”

ในลีกฤดูกาลนี้หลังจากเริ่มต้นอย่างเนิบๆ ที่ดูเหมือนขาดความเด็ดขาดที่เป็นเครื่องหมายการค้าภายใต้การคุมทีมของอันโตนิโอ คอนเต้   ทีมของอินซากี้ทำผลงานได้เด็ดขาดขึ้นตลอดเดอืนพฤศจิกายน, ธันวาคม และมกราคม โดยชนะ 8 เกมติดต่อกันในเซเรีย อา รวมถึงบุกไปชนะโรม่าของมูรินโญ่ในเกมถล่มฝั่งเดียว 3-0 ไต่จากอันดับที่ 3 ขึ้นมาอันดับ 1 และปล้นชัยในนาทีที่ 120 เกมกับยูเวนตุสชูถ้วยซูเปอร์โคปปา อิตาเลียนาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2010

ฟอร์มดังกล่าวสร้างชื่อให้กับเจ้านายใหม่ที่ได้โอกาสคุมทีมใหญ่ในประเทศตอนที่เขาอำลาลาซิโอ ที่เขาเคยนำทีมคว้าแชมป์โคปา อิตาลีหนึ่งสมัย และซูเปอร์โคปปา 2 สมัยในการคุมทีมครั้งแรกตั้งแต่เดือนมิถุนายน การอำลาทีมแบบไม่มีใครคาดคิดของคอนเต้ตามหลังด้วยการขายดาวซัลโวอย่างลูเมลู ลูกากู และอัชราฟ ฮาคิมี วิงแบ็กที่ทรงอิทธิพลของทีม บวกการกับสูญเสียคริสเตียน อีริคเซ่นเนื่องจากกฎของเซเรีย อาห้ามเขาลงเล่นพร้อมกับใส่เครื่องกระตุ้นหัวใจ แปลว่าอินเตอร์เป็นตัวเต็งของกูรูน้อยท่านมาตอนเริ่มต้นฤดูกาล 2011-22

หลังจากสะดุดในช่วงต้นๆ อินซากี้ดูจะประสบความสำเร็จในการปรับสไตล์ระหว่างคอนเต้ และทีมของเขา โดยยึดติดกับระบบ 3-5-2 แต่ลื่นไหล และเน้นเกมรุกมากขึ้น ในขณะที่การหมุนเวียนักเตะมากขึ้น และสร้างการแข่งขันในทีมมากขึ้น นักเตะสิบสองคนทำประตูให้อินเตอร์ในฤดูกาลนี้ เฉพาะกองหลังก็ทำไปรวม 14 ประตู

“ผมพอใจแม้ตอนเดือนตุลาคมที่เราอยู่ห่างจากจ่าฝูง”อินซากี้กล่าวกับลา กัซเซ็ตต้า เดลโล่ สปอร์ตในเดือนธันวาคม “นี่เป็น เพราะว่าผมได้เจอกับแฟนๆ ทั่วเมือง และพวกเขาบอกผมว่าพวกเขาชอบแนวทางการเล่นของเรา มีความสุขมากที่เข้ามาดูในสเตเดยม นี่คือคำชมที่สำคัญที่สุดสำหรับโค้ช”

อินเตอร์ยังลุ้นแชมป์สามรายการ และยังคงมีโอกาสที่จะป้องกันแชมป์เซเรีย อา แม้ว่าพวกเขาจะพ่ายมิลานในเกมดาร์บี และตามด้วยผลเสมอ 1-1 ในการเยือนนาโปลี แปลว่าพวกเขาตามหลังจ่าฝูงในตารางหนึ่งแต้ม แต่ยังมีเกมในมือหนึ่งนัด

มีนักเตะที่คุ้นหน้าคุ้นตาหลายคนในทีมของอินซากี้ ไม่ว่าจะเป็นเอดิน เชโก้, อเล็กซิส ซานเชซ, มัตเตโอ ดาร์เมียง, อันเดรีย ราน็อคเคีย และเฟลิเป้ ไกเซโด้ที่เคยเล่นฟุตบอลพรีเมียร์ลีกมาแล้วในอดีต แต่ยังมีความกระฉับกระเฉงของนักเตะอายุน้อยอย่างเดนเซล กัมฟรีส์ ที่โชว์ฟอร์มได้อย่างโดดเด่นให้กับทีมชาติฮอลแลนด์ในยูโร 2020 และสามารถแทนที่ฮาคิมิทางฝั่งขวา และมีนิโคโล บาร์เรลล่า กองกลางไดนาโม แม้ว่ารายหลังจากพลาดทั้งสองเกมเนื่องจากถูกลงโทษจากใบแดงในรอบแบ่งกลุ่มกับเรอัล มาดริด

อีกฝั่งริมเส้นของดัมฟรีส์ คือโรบิน กูเซ่นนักเตะทีมชาติเยอรมนีที่ทำประตูในเกมที่อตาลันตาเอาชนะ 2-0 ที่แอนฟิลด์ในฤดูกาลที่แล้ว ที่ย้ายมาร่วมทีมในเดือนมกราคม แต่อาจจะต้องรอลุ้นลงเล่นเกมที่สองเนื่องจากการรักษาตัวจากปัญหาการบาดเจ็บที่ต้นขา

สำหรับผู้ที่มีความทรงจำเกี่ยวกับอินเตอร์ส่วนใหญ่มาจากยุคทองของวงการฟุตบอลอิตาลี ที่มีการถ่ายทอดสดในอังกฤษในยุค 90/ต้นยุค 2000 ที่พวกเขาเต็มไปด้วยซูเปอร์สตาร์อย่างคริสเตียน วิเอรี่, อัลบาโร่ เรโคบ้า และโรนัลโด้ โดยพวกเขามีฉายาว่าพาสต้า อินเตอร์ ‘เครซี่ อินเตอร์’ เพื่อสอดคล้องกับสไตล์ที่คาดเดาไม่ได้เลยของพวกเขา ยุคปี 2022 พวกเขาเปลี่ยนไป พวกเขามีการปรับตราสโมสร ตัดแถบสีน้ำเงิน และสีดำแนวตั้งออก อย่างน้อยก็สำรหับฤดูกาลนี้ แล้วออกแบบเป็นสไตล์หนังงู และพวกเขายังวางแผนร่วมกับเอซี มิลานคู่แข่งร่วมเมือง ในการสร้างซาน ซีโร่ขึ้นมาใหม่เป็น ‘มหาวิหาร’ ในปีที่ผ่านมา

สิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง หรือยังคงรักษาไว้ในยุคของคอนเต้ และอินซากี้คือความภาคภูมิใจ ความทะยอทะยาน และความบันทิงที่แสดงออกมาให้เห็น ทุกอย่างผสมผสานกันในการสร้างศักยภาพที่จะทำให้เกมแชมเปียนส์ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้ายกับลิเวอร์พูลกลายเป็นเกมที่น่าดึงดูดใจอย่างมาก