ลิเวอร์พูลขยับกลับไปเป็นจ่าฝูงของตารางพรีเมียร์ลีก ด้วยชัยชนะ 3-0 เหนือบอร์นมัธที่แอนฟิลด์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยได้ประตูจาก ซาดิโอ มาเน่, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม และโมฮาเหม็ด ซาลาห์ ช่วยให้ทีมแซงแมนฯ ซิตี้ที่จะพบเชลซีในวันอาทิตย์นี้ไป 3 แต้ม

นี่คือ 5 ประเด็นที่น่าสนใจจากเกมนี้...

เดอะ มาเน่ แมน

ลูกโหม่งของมาเน่ในนาทีที่ 24 ช่วยลดความกังวลในช่วงต้นเกมที่แอนฟิลด์ไปพอสมควร ในขณะที่กองหน้าเซเนกัลยังคงทำประตูสำคัญให้หงส์แดงอย่างต่อเนื่อง และตอนนี้นับเป็นครั้งแรกที่เขาทำประตูในเกมพรีเมียร์ลีก 4 เกมติดต่อกันในอาชีพ และช่วยให้ลิเวอร์พูลได้ 8 แต้มอันมีค่าในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว

ประตูสุดท้ายที่มาเน่ทำให้กับลิเวอร์พูล กลายเป็นประตูชัยที่สำคัญในเกมสุดตื่นเต้นที่เอาชนะคริสตัล พาเลซ 4-3 ในเดือนที่แล้ว และหลังจากนั้นเขาทำประตูเดียวของเกมให้หงส์แดงจากผลเสมอ 1-1 ในเกมกับเลสเตอร์ วิตี้ และเวสต์แฮมก่อนหน้านั้น

เวทมนต์ของจินี่

ไวจ์นัลดุมกลับมาอยู่ในทีมหลังจากอาการเจ็บที่หัวเข่าที่ทำให้เขาต้องพักในเกมกับเวสต์แฮมก่อนหน้านี้ และเขาทำประตูอันน่าทึ่งให้ลิเวอร์พูลนำห่างสองประตู

การลงเล่นในบทบาทกองกลางตัวรุกที่ยืนสูงในระบบ 4-3-3 เคียงข้างกับฟาบินโญ่ และนาบี เกอิต้า ดาวเตะดัตช์ขึ้นเติมเกมรุกและประสานงานกับแอนดี โรเบิร์ตสัน ที่หยอดบอลผ่านแนวรับ และหลังจากการจับบอลจังหวะแรกอันน่าทึ่ง เขาดีดบอลผ่านอาร์เธอร์ โบรุค ผู้รักษาประตูทีมเดอะ เชอร์รีส์ เข้าไปอย่างงดงาม

ตำแหน่งการยืนโดยทั่วไปในเกมกับบอร์นมัธ

เจ้าของเสื้อเบอร์ 5 ที่มีปัญหาเจ็บป่วยตลอดสองสามวันที่ผ่านมา และยังต้องแยกตัวออกจากทีม ยังเป็นคนสร้างโอกาสทำประตู 3 ครั้งให้กับเพื่อนร่วมทีมของเขา และจ่ายบอลสำเร็จในอัตรา 91 เปอร์เซ็นต์

ซาลาห์กำลังสร้างมาตรฐาน

แค่ไม่กี่นาทีในครึ่งหลัง ซาลาห์ และโรแบร์โต้ เฟอร์มิโน่ ประสานงานกันอย่างยอดเยี่ยมจนมีลุ้นแย่งประตูยอดเยี่ยมประจำเดือน แข่งกับประตูของไวจ์นัลดุม โดยลูกยิงของซาลาห์ทำให้เขาเป็นนักเตะคนแรกของลิเวอร์พูลตั้งแต่หลุยส์ ซัวเรซ ในฤดูกาล 2013-14 ที่ทำสถิติยิงได้เกิน 20 ประตูสองฤดูกาลติดต่อกันให้กับสโมสร ซึ่งต้องขอบคุณความช่วยเหลือจากคู่หูในแดนหน้า

หลังจากวิ่งไปหาลูกจ่ายทะลุของเกอิต้า เฟอร์มิโน่สอดไปทางขวาของกรอบเขตโทษ แต่แทนที่จะยิงเอง เฟอร์มิโน่กลับตอกส้นให้กับซาลาห์ ที่ไม่พลาดจบสกอร์ต่อหน้าอัฒจันทร์เดอะ ค็อป

ตอนนี้นักเตะอียิปต์ทำไปแล้ว 49 ประตูจาก 62 เกมในลีกสูงสุดให้กับลิเวอร์พูล สถิติพรีเมียีร์ลีกก่อนหน้านี้สำหรับนักเตะที่ทำได้ 50 ประตูในสโมสรเดียวคืออลัน เชียร์เรอร์ (66 เกม) ตอนอยู่กับแบล็กเบิร์นในช่วงทศวรรษ 1990

ป้อมปราการแอนฟิลด์

ชัยชนะเหนือบอร์นมัธแปลว่าตอนนี้ลิเวอร์พูลไม่แพ้ใครในแอนฟิลด์ตลอด 34 เกมหลังสุดในลีก (ชนะ 24 และเสมอ 10) และทีมของเจอร์เก้น คล็อปป์ ทำสถิติเทียบเท่ากับสถิติไม่แพ้ใครยาวนานติดต่อกันในบ้านเกมลีกที่ตั้งไว้ในฤดูกาล 1970-71

เกมนี้ยังเป็นการเก็บคลีนชีตแรกของหงส์แดงในบ้านปีนี้ และต้องชื่นชมผลงานการช่วยเกมรับของเกอิต้า เขาเข้าสกัดมากที่สุดในเกมนี้ (6 ครั้ง), แย่งบอลคืน (12 ครั้ง), ชนะการดวล (15 ครั้ง) และจับบอลมากกว่าใครในสนาม

ขณะที่ด้านหลังของเขาคือเซ็นเตอร์แบ็กอย่างเวอร์จิล ฟาน ไดจ์ค นั้นยอดเยี่ยมที่สุด เมื่อชนะ 100 เปอร์เซ็นต์ในการดวลกัน และนำทีมด้วยการจ่ายบอลออก 107 ครั้ง 

เสียงเพลงแห่งจิตวิญญาณ

คล็อปป์กล่าวในการแถลงข่าวก่อนเกมว่าเขาต้องการให้แฟนบอล ‘ตะโกนด้วยจิตวิญญาณของพวกเขาลงไปในสนาม’ และเด็กหงส์ 50,000 คนในแอนฟิลด์ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง โดยเฉพาะบทเพลง You'll Never Walk Alone และ Fields of Anfield Road  ช่วยสร้างบรรยากาศของเกมนี้

แต่ช่วงเวลาที่เร้าใจที่สุดคือตอนที่ไวจ์นัลดุมได้รับการยืนปรบมือขณะถูกเปลี่ยนออก โดยมีเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ได้รับการต้อนรับกลับมาจากการบาดเจ็บในนาทีที่ 76

“เรารู้สิ่งที่เราต้องทำ เราที่อยู่ในสนาม และแฟนๆ ที่อยู่บนอัฒจันทร์” คล็อปป์กล่าวก่อนเกม ซึ่งทั้งนักเตะ และแฟนๆ ต่างทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม